ลุ้นโปรฯอากาศเย็นฉ่ำเหลืออีกกี่วัน กทม.จะเลิกหนาวกี่โมง
แต่ที่แน่ๆ มันมาตามนัด วิกฤติประจำถิ่นตรงตามฤดู ฝุ่นควันพิษปกคลุมเมืองหลวงมัวไปหมด ตามตัวเลขสดๆรายวัน จากศูนย์ข้อมูลคุณภาพอากาศกรุงเทพมหานคร ตรวจวัดค่า PM 2.5 เกินขีดสีส้ม พรึบทุกพื้นที่ อยู่ในระดับมีผลต่อสุขภาพประชาชน หายใจไม่เต็มปอดทั้ง 50 เขต
นี่คือโจทย์สถานการณ์เรียลไทม์ บทพิสูจน์แผนเผชิญเหตุวัดฝีมือรัฐบาล
ด่านทดสอบเชิงบริหารของทีมงานเพื่อไทย ภายใต้การนำของผู้นำคนลูก “อิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ และอดีตผู้นำคนพ่อยี่ห้อ “ทักษิณ ชินวัตร”
มีอะไรเหนือกว่ารัฐบาลทหารเฒ่า 3 ป.ที่ถูกปิดสวิตช์ไปหรือไม่
ภายใต้โจทย์สถานการณ์เดียวกัน มันเป็นเรื่องที่รู้ล่วงหน้า ฝุ่น PM 2.5 หนักหนาสาหัสมาตลอด 4–5 ปีหลัง แม้จะรู้กันดี รับสภาพเป็นปัญหาเรื้อรัง แต่อย่างน้อยภาครัฐก็ต้องมีมาตรการบรรเทาวิกฤตการณ์
แสดงให้ชาวบ้านร้านตลาดได้เห็นการเอาใจใส่ความเป็นความตาย
ผู้นำตระกูลชินจำเป็นต้องเทกแอกชันโชว์ให้เห็นเนื้อเห็นหนัง ในการลดอันตรายฝุ่นพิษส่งผลต่อความเจ็บป่วยประชาชน เบรกกระแสติดเชื้อ ก่อนส่งผลต่อสุขภาพทางการเมืองของรัฐบาล ตามปรากฏการณ์ธรรมชาติ วิกฤติ PM 2.5 จะลามกระตุ้นอารมณ์หงุดหงิด กดทับสถานการณ์เศรษฐกิจ
อาการสำลักฝุ่นควัน เร้าไปกับวิกฤติปากท้องชาวบ้านร้านตลาด
ภายใต้บรรยากาศที่รู้สึกได้ถึงความเงียบเหงาหลังเทศกาลหยุดยาวปีใหม่ ถนนหนทางในกรุงเทพฯ รถราบางตา สอดรับกับข่าวร้ายส่งท้ายปีเก่า บริษัทห้างร้านเอกชนเลิกจ้าง ลดการขาดทุน ไปจนถึงเลิกกิจการ
ไร้สัญญาณบวกทางเศรษฐกิจ มืดมนไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ ยังไม่เห็นฟอร์มฮอตของยี่ห้อ “ทักษิณ” ที่เคลมตีกินฝีมือบริหารปากท้อง แบกความหวังกองเชียร์ ฟื้นแต้มบุญเก่า คืนความกินดีอยู่ดี
...
ถึงตรงนี้ยังมีแค่การขายฝันบนเวทีปราศรัยเรียกแต้มการเมือง
และมาถึงจุดที่จะเหมาตีขลุมเป็นวิกฤติทั่วโลกก็ชักจะมีเสียงเอ๊ะ ในเครื่องหมายคำถามตามข้อมูลที่ปรากฏต่อสายตานักลงทุนทั่วโลก ตามภาพการเปรียบเทียบกับเพื่อนบ้านอาเซียนด้วยกันชัด ประเทศเวียดนามเพิ่งโชว์ตัวเลขการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจไตรมาส 4 ของปีที่ผ่านมา จีดีพีทะลักพุ่งไปที่ร้อยละ 7.55 เหนือการคาดหมาย
ไม่มีการตีปี๊บขายฝัน ไม่มีคิวปั่นตัวเลขกู้กระแส
มีแต่ผลการลงมือทำงาน เน้นฝีมือมาก่อนฝีปาก ตามแผนยุทธศาสตร์ผู้นำรัฐบาลฮานอย เดินหน้าลุยลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน ดึงดูดการลงทุน ตั้งเป้าจีดีพีปี 2568 พุ่งไม่หยุดฉุดไม่อยู่ไปที่ 8 เปอร์เซ็นต์
เกมฟุตบอลสูสี แต่เชิงเศรษฐกิจ ไทยไม่ใช่คู่แข่งเวียดนามแล้ว
แนวโน้มแบบที่แข่งกับตัวเองยังลำบาก จากรูปการณ์มั่วๆ ในเชิงบริหารที่นัวเนียๆ แยกกันไม่ออกระหว่างแก้ปัญหาเศรษฐกิจกับสางปมการเมืองลักลั่น ตามท้องเรื่องแบบที่ “อดีตนายกฯ คนพ่อ” ขึ้นเวทีปราศรัย ใช้สถานะ “ส.ท.ร.” ส่งสัญญาณ “นำร่อง” ล่วงหน้าให้ “นายกฯคนลูก”
ตั้งท่าทุบราคาค่าไฟฟ้าให้เหลือหน่วยละ 3.70 บาท
และก็เป็นไปตามคาด “ตุ้บค่าไฟ” ทุบหุ้นโรงไฟฟ้าร่วงระเนระนาด การประกาศของ “อดีตนายกฯคนพ่อ” ทำแมลงเม่าปีกไหม้ ตายคากองเพลิง หลัง “ทักษิณ” แสดงความเป็นตัวจริงกำกับเกมพลังงาน
พร้อมๆ กับการสำแดงพลังตัวจริง บอกปัดกระแสข่าวปรับ ครม. เขี่ยทิ้ง “เสี่ยตุ๋ย” นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกฯและ รมว.พลังงาน หัวหน้าค่ายรวมไทยสร้างชาติ
การันตี “คุยกันรู้เรื่อง” ลีลาข่มเป็นนัยตีกรอบ “คนสนิทลุงตู่” ให้อยู่ “ใต้ปีก”
ตามฟอร์มของ “ผู้ครอบครอง” ที่โชว์แสนยานุภาพผ่านก๊วนกอล์ฟ “ซุปเปอร์วีไอพี” ที่รายล้อมไปด้วยบิ๊กๆในวงการพลังงานเมืองไทย
แต่ไม่วาย “พีระพันธุ์” ก็ยังขืนตัวแข็ง แสดงความเป็น “ตัวตึง” โชว์ความห้าวหาญ ภูมิใจผลงานโบแดงในการเบรก กฟผ.จ้างเอกชนขุดและขนถ่านหิน เหมืองแม่เมาะ ชะลอสัญญาซื้อไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน
ประกาศเสียงดัง ไม่สนใจ ไม่กลัว ไม่ใช่ “นายทุน”
“คุณชายเนี้ยบผู้จองหอง” พร้อมบวก รับฉายา “พีระพัง”.
ทีมข่าวการเมือง
คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม