“โอภาส” หนึ่งใน กมธ.บุหรี่ไฟฟ้า เผย ศึกษาควบคุมบุหรี่ไฟฟ้าแบบถูกกฎหมาย เน้นปกป้องเด็กและเยาวชน เดินหน้าหาข้อสรุปที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง มองผลสำรวจขัดแย้งกับความเป็นจริง

วันที่ 6 มกราคม 2568 นายโอภาส อาลมิสรี รองโฆษกพรรคเสรีรวมไทย และหนึ่งในคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษากฎหมายและมาตรการควบคุมกำกับบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย (กมธ.) เปิดเผยถึงความคืบหน้าการศึกษาหาแนวทางในการควบคุมบุหรี่ไฟฟ้า เพื่อแก้ปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในประเทศ โดยเฉพาะในกลุ่มเยาวชน ว่า กมธ. รับทราบดีว่าประชาชนมีความกังวลเกี่ยวกับบุหรี่ไฟฟ้า แม้จะมีการห้ามนำเข้า-ห้ามขายอยู่ในปัจจุบันแต่ยังไม่สามารถแก้ปัญหาการใช้บุหรี่ไฟฟ้าในเด็กและเยาวชนที่เพิ่มขึ้นได้ โดย กมธ. มีข้อเสนอ 3 แนวทางหลักที่จะเสนอให้กับสภาฯ ก่อนจะส่งให้กับคณะรัฐมนตรี (ครม.) พิจารณาต่อ

นายโอภาส กล่าวต่อไปว่า การทำงานของ กมธ.ชุดนี้มีความท้าทายมาก เนื่องจากเรื่องบุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมายมีทั้งคนที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แถมยังมีข้อมูลที่ขัดแย้งกันระหว่างข้อมูลในประเทศและข้อมูลของต่างประเทศ มีผู้ได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ทั้งผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้า ผู้ไม่สูบบุหรี่ เด็กและเยาวชน ตลอดจนหลายหน่วยงานของรัฐ และยังเป็นประเด็นที่สังคมไทยให้ความสนใจ ทาง กมธ. ได้ศึกษาข้อมูลอย่างครบถ้วนในทุกมิติ และรับฟังความคิดเห็นจากทุกฝ่าย จึงทำให้ใช้เวลาในการทำงานและศึกษากว่าปีเศษ ประชุมกันจนถึง 26 ธันวาคมที่ผ่านมา รวมทั้งหมดก็ 39 ครั้ง

“ข้อเสนอทั้งสามแนวทางของ กมธ. เราได้ระบุข้อดี ข้อเสียอย่างครบถ้วน สามารถนำไปศึกษาและพัฒนาต่อเป็นกฎหมายเพื่อควบคุมการสูบบุหรี่และการใช้บุหรี่ไฟฟ้าให้ดีกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันได้ โดยสามารถนำ พ.ร.บ.ภาษีสรรพสามิต และ พ.ร.บ.ควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ มาใช้ได้ทันทีเพื่อควบคุมได้ชัดเจน เข้มงวดมากยิ่งขึ้น พร้อมบทลงโทษที่ชัดเจน หากใช้เวลานานกว่านี้ก็จะเสียโอกาสในการป้องกันไม่ให้เด็กและเยาวชนซื้อหรือใช้บุหรี่ไฟฟ้าได้โดยง่าย”

...

ทั้งนี้ ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อต้นเดือนธันวาคม 2567 ที่ผ่านมา มีมติขยายเวลาการทำงานให้ กมธ. ออกไปอีกเพียง 30 วัน จนถึง 19 มกราคม 2568 เนื่องจากมีการอภิปรายว่าการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าในเด็กเป็นเรื่องเร่งด่วนที่ต้องรีบแก้ไข ซึ่ง กมธ. ต้องดูรายละเอียดของรายงานให้รอบคอบ รัดกุม เพื่อเป็นประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน นายโอภาส ยังได้แสดงความกังวลถึงสถานการณ์ปัจจุบันของบุหรี่ไฟฟ้าในประเทศไทย โดยระบุว่า ผลสำรวจของสำนักงานสถิติแห่งชาติ ปี 2564 พบคนไทยใช้บุหรี่ไฟฟ้าประมาณ 8 หมื่นคน ซึ่งย้อนแย้งกับสิ่งที่เป็นอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันมากๆ การให้ข้อมูลผิดๆ หรือไม่อัปเดตเหล่านี้ ก็จะเป็นโทษมากกว่า เพราะจะทำให้ผู้มีอำนาจตัดสินใจหรือไม่ตัดสินใจทำอะไรให้สถานการณ์นั้นดีขึ้น

“เท่าที่ผมสำรวจดูด้วยตนเองและมีทีมงานไปสำรวจตามสถานที่ที่จัดให้เป็นที่สูบบุหรี่ต่างๆ แล้วลองนับจำนวนผู้สูบบุหรี่มวนและบุหรี่ไฟฟ้าดู พบมีผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าเกือบครึ่งของผู้ที่สูบบุหรี่มวน ยังไม่รวมผู้ใช้บุหรี่ไฟฟ้าบางกลุ่มที่คิดว่าไม่มีความจำเป็นที่จะมาใช้พื้นที่รวมกับผู้สูบบุหรี่ เพราะไม่อยากได้รับควันบุหรี่อีก ประเทศเรามีผู้สูบบุหรี่ทั้งหมด 10 กว่าล้านคน ดังนั้น ผมคิดว่าผู้ที่ใช้บุหรี่ไฟฟ้ามีเกิน 2 ล้านคนแน่ๆ”

พร้อมได้ตั้งคำถามต่อไปว่าทำไมคนใช้บุหรี่ไฟฟ้าถึงได้มากมายขนาดนี้ ทั้งที่ประเทศไทยห้ามนำเข้าและจำหน่ายบุหรี่ไฟฟ้าอยู่ แสดงว่ากฎหมายในปัจจุบันยังไม่เหมาะสมหรือเปล่า ปล่อยให้ขายกันใต้ดิน มีการเรียกรับผลประโยชน์กันได้หรือไม่ สำหรับประเทศไทย ถ้าเอาบุหรี่ไฟฟ้าขึ้นมาควบคุม ก็ไม่ได้แปลว่าจะขายอย่างไรก็ได้ มันก็ต้องมีการกำหนดมาตรการต่างๆ เพื่อให้ดึงดูดเด็กและเยาวชนน้อยที่สุด เช่น ห้ามกลิ่นผลไม้ หรือรสหวาน สีสันของอุปกรณ์ วิธีการจำหน่าย อาจจะต้องใช้ใบสั่งแพทย์หรือเสียบบัตรยืนยันตนตอนซื้อ เป็นต้น

ในช่วงท้าย นายโอภาส ยังกล่าวถึงความพยายามของฝ่ายที่ไม่เห็นด้วยกับการให้บุหรี่ไฟฟ้าถูกกฎหมาย ที่ยังคงรณรงค์คัดค้านรายงานฉบับนี้ ควรให้ความเคารพต่อกระบวนการทำงานของ กมธ. ให้เป็นไปตามกลไกของสภาและระบอบประชาธิปไตย ที่จะเดินหน้าเพื่อหาข้อสรุปที่เกิดประโยชน์ต่อสังคมอย่างแท้จริง เพราะทุกฝ่ายต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันคือการปกป้องเยาวชน และจัดการปัญหาการระบาดของบุหรี่ไฟฟ้าอย่างเป็นระบบเพื่อลดผลกระทบต่อสุขภาพและสังคมในระยะยาว.