“นายกฯอิ๊งค์” เสริมสิริมงคลนำ ทีม ครม.ทำบุญปีใหม่ทำเนียบฯ เรียกถกรองนายกฯ-รมต. มอบขุนคลังเร่งสปีดถกจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบฯปี 69 “ชูศักดิ์” หยันศึกซักฟอกน้ำท่วมทุ่ง ฝ่ายค้านเสียเครดิตเอง “ชัยเกษม” อวยนายกฯฉลาดมาก ไม่ห่วงพารัฐบาลเดินต่อครบเทอม “วิโรจน์” ขู่พ้นวันวาเลนไทน์ ลากรัฐบาลเผชิญหน้าความจริงอันโหดร้าย จัดอาวุธหนักถล่มรัฐบาลคาเขียง ฉายหนังตัวอย่างแก้ค่าไฟแพงไม่ตรงต้นตอ ไร้น้ำยาปราบแก๊งคอลเซ็นเตอร์ ล้างยาเสพติดเหลวมีแต่ภาพลวงตา ฮึ่ม “สุริยะ” หนักแน่อย่าคิดว่านามสกุล “จึงรุ่งเรืองกิจ” แล้วจะรอด “นิกร” เตือนแก้ ม.256 โดยไม่ทำประชามติเสี่ยงผิดกฎหมาย เจอเล่นงาน ม.157 และถูกร้องถอดถอน “ชูศักดิ์” เมินเสียงค้านลุยไฟเปิดประตูตั้ง ส.ส.ร.

น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะรัฐมนตรีพร้อมคู่สมรส ร่วมทำบุญเนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 แล้วเรียกหารือรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีเพื่อติดตามงาน โดยได้มอบหมายให้นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง เป็นประธานประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งจัดทำร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี 2569 ในวันที่ 3 ม.ค.

นายกฯ-ครม.ทำบุญตักบาตรปีใหม่

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 2 ม.ค. ที่ตึกสันติไมตรี ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรีและนายปิฎก สุขสวัสดิ์ คู่สมรส เป็นประธานในพิธีทำบุญ เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 พร้อมรองนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรี และหัวหน้าส่วนราชการในทำเนียบรัฐบาลร่วมพิธี มีพระราชาคณะ 10 รูปคือสมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ วัดราชบพิธสถิต มหาสีมาราม พระพรหมสิทธิ วัดสระเกศ พระพรหมเสนาบดี วัดปทุมคงคา พระพรหมวชิโรดม วัดโมลี โลกยาราม พระพรหมวัชรวิมลมุนี วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ พระพรหมวชิรรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร พระธรรมคุณาภรณ์ วัดไตรมิตรวิทยาราม พระธรรมวชิราภรณ์ วัดเทวราชกุญชรและพระธรรมวชิราธิบดี วัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม เจริญพระพุทธมนต์

...

จากนั้นนายกฯ คู่สมรสและ ครม.ร่วมพิธีทำบุญตักบาตรพระสงฆ์รวม 68 รูป รอบสนามหญ้าตึกไทยคู่ฟ้า พร้อมนำ ครม.สักการะพระพรหมบนตึกไทยคู่ฟ้า ศาลพระภูมิ และศาลตายาย สิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบฯ เพื่อเป็นสิริมงคล ผู้สื่อข่าวถามว่า นายกฯได้ขอพรอะไรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ประจำทำเนียบฯ นายกฯยิ้มพร้อมกล่าวว่า สวัสดีปีใหม่สื่อมวลชน ขอให้ปีนี้มีความสุข สุขภาพแข็งแรงทุกคน แล้วเดินกลับขึ้นตึกไทยคู่ฟ้าร่วมประชุมรองนายกฯและรัฐมนตรีเพื่อติดตามงาน

รับ ส.ค.ส.พระราชทาน

ต่อมาเวลา 11.00 น. ที่ห้องสีงาช้าง ตึกไทยคู่ฟ้า ทำเนียบรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี รับพระราชทานบัตรอำนวยพรและแจกันดอกไม้ เนื่องในโอกาสวันขึ้นปีใหม่ พุทธศักราช 2568 จากผู้แทนพระองค์ในสมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าสิริวัณณวรี นารีรัตนราชกัญญา (พล.ท.ฐิตะฐาน สุขศรี หัวหน้าแผนกราชการในพระองค์ 918)

“พิชัย” เริ่มถกทำงบฯ 69 ตั้งแต่ 3 ม.ค.

นายพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และ รมว.คลัง กล่าวถึงการจัดทำงบฯปี 2569 ว่า วันที่ 3 ม.ค. นายกฯ มอบหมายให้เป็นประธานประชุมจัดทำกรอบงบฯ ปี 69 ร่วมกับกระทรวงการคลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) สำนักงบประมาณ และสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) จะรู้ว่าทิศทางปี 2569 ต้องดูว่าจะทำอย่างไรให้เศรษฐกิจเติบโต และต้องทำให้โครงสร้างทางการเงินของประเทศเข้มแข็ง เมื่อถามว่าในปี 68 นายกฯย้ำว่าต้องเป็นปีเศรษฐกิจฟื้น เป็นปีทองของเศรษฐกิจไทย นายพิชัยกล่าวว่า ถ้าความเชื่อมั่นค่อยๆมา เป็นโอกาสที่สถาบันการเงินต้องมองเห็นภาพเดียวกับเรา คาดว่าการปล่อยสินเชื่อ ต่างๆจะมากขึ้น เมื่อถามว่าในปี 68 นโยบายการเงินต้องเข้ามาช่วยหรือไม่ ในช่วงที่เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น นายพิชัยตอบว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ต้องพิจารณา หากคิดว่าเศรษฐกิจฟื้นช้าต้องลด แต่ถ้าคิดว่าฟื้นตัวได้เร็ว เป็นอีกเรื่องหนึ่ง กนง.จะประชุมกันทุก 2 เดือนอยู่แล้ว เมื่อถามว่ากระทรวงการคลังกับ ธปท.ต้องคุยกันอีกหรือไม่ นายพิชัยกล่าวว่า หลังปีใหม่เหตุการณ์เปลี่ยน กำลังสรุปภาพทั้งหมดที่จะพูดคุยกับทั้ง ธปท. ธนาคารพาณิชย์ สศช.ว่า เศรษฐกิจเราจะทำอะไร อย่างไร จะดูงบฯอีกทีว่าจะจัดทัพกันอย่างไร

เฟ้น ปธ.บอร์ดแบงก์ชาติไม่นาน

นายพิชัยยังกล่าวถึงการสรรหาประธานคณะกรรมการ (บอร์ด) ธปท.หลังคณะกรรมการกฤษฎีกา 3 คณะวินิจฉัยคุณสมบัตินายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตรองนายกฯ และ รมว.คลัง มีคุณสมบัติต้องห้ามว่า กระทรวงการคลังอยู่ระหว่างส่งเรื่องกลับไปหารือกับคณะกรรมการสรรหาฯที่มีนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์ อดีตปลัดกระทรวงการคลัง เป็นประธาน คงต้องเสนอคนใหม่ รักษาการประธานบอร์ด ธปท.คนปัจจุบันจะสิ้นสุดลงช่วงกลางเดือน ม.ค. ขึ้นกับว่ารักษาการคนปัจจุบันจะลาออกหรือไม่ ถ้าไม่ลาออกทำงานต่อได้ ถ้าลาออกจะทำให้ไม่สามารถประชุมได้ เราต้องรีบดำเนินการสรรหา น่าจะทำได้เร็วกว่าเดิม เพราะไม่ต้องเริ่มใหม่ เข้าใจแล้วว่าต้องการคนมีคุณสมบัติอย่างไร จะใช้คนเดิมได้หรือไม่ ต้องดูระเบียบว่าอย่างไร

“ชูศักดิ์” ชี้น้ำท่วมทุ่งฝ่ายค้านเสียเอง

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีฝ่ายค้านเตรียมยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ถือเป็นสิทธิของฝ่ายค้าน ขึ้นอยู่กับประเด็น เพราะคนยื่นต้องชั่งน้ำหนักยื่นไปมีน้ำหนักมากน้อยเพียงใด ถ้าพูดไปแล้วน้ำท่วมทุ่ง ผักบุ้งโหรงเหรงจะเสียกับตัวผู้ยื่นเอง ที่ฝ่ายค้านเตรียมจะยื่น อาทิ ประเด็นชั้น 14 และเอ็มโอยู 44 เป็นเรื่องที่เราคุยนานมาแล้ว ไม่น่าจะมีอะไร

“ชัยเกษม” เชื่อ รบ.–นายกฯครบเทอม

นายชัยเกษม นิติสิริ ที่ปรึกษานายกฯกล่าวว่า สถานการณ์การเมืองปี 68 หากมีเรื่องร้อนเข้ามา ถ้าไม่ร้อนกลับไปมันจะไม่แรง มีประเด็นชั้น 14 และเอ็มโอยู 44 ไม่น่ามีปัญหาที่จะเป็นเงื่อนไขให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้เชื่อว่าปัญหาทุกอย่างแก้ได้ เชื่อว่าทุกอย่างจะเดินไปได้ด้วยดี ภาพรวมพอใจการทำงานของรัฐบาล เชื่อว่าเมืองไทยมีแต่คนทำงานเพื่อชาติและรักกันไม่ต้องไปห่วง คนที่ไม่หวังดีต่อชาติยังมองไม่เห็นชัดๆสักคน น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ เป็นคนดี ตั้งใจทำงาน ยังเชื่อว่าจะอยู่ไปได้สบายๆ ไม่ต้องไปห่วงหรอก ท่านฉลาดมาก เหมาะสมจะอยู่ต่อไปเรื่อยๆ เมื่อถามว่านายชัยเกษมสุขภาพแข็งแรง พร้อมจะทำงานตลอดเวลา ใช่หรือไม่ นายชัยเกษมกล่าวว่า “ผมนี่พร้อมทำงานตลอดเวลาอยู่แล้ว สุขภาพดีขึ้น ที่บอกว่าเดินป่วยเดินเป๋อะไรหายไปนมนานแล้ว” เมื่อถามว่า ถ้ามีอุบัติเหตุทางการเมืองพร้อมทำงานเลยใช่หรือไม่ นายชัยเกษมตอบว่า “ ไม่มีปัญหา หมอบอกว่าโชคดี มหาศาล ที่เคยป่วยหายไปหมดแล้ว โรคทุกอย่างไปหมด จบ สบาย”

“วิโรจน์” จัดอาวุธหนักถล่มซักฟอกรัฐบาล

นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ รองหัวหน้าพรรค ปชน.ให้สัมภาษณ์ถึงการคัดข้อมูลอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลว่า ไม่ทราบข้อมูลเรื่องการคัดข้อมูล แต่ให้เรียกตนว่าฝ่ายป้อนอาวุธหนักชี้เป้าส่งประเด็นสำคัญให้คณะกรรมการฯ และล็อกเป้าขุนพลซักฟอกเป้าหมาย ส่วนใครจะได้ขึ้นอภิปรายอยู่ที่คณะกรรมการคัดเลือก ขอให้จับตาว่า ถ้าหมดห้วงเวลาแห่งความรักในช่วง 14 ก.พ.2568 เมื่อไหร่ จะเข้าสู่ห้วงเวลาแห่งความจริงอันโหดร้ายของรัฐบาลเมื่อนั้น ส่งสัญญาณถึงรัฐบาลว่าความผิดสำเร็จแล้วทำอะไรก็ไม่ทัน รัฐบาลทำใจเถอะ

ขู่ “สุริยะ” โดนหนักอย่าคิดว่าจะรอด

เมื่อถามว่านายกฯสัญญาทำนองว่าในปี 68 ชีวิตประชาชนจะดีขึ้น นายวิโรจน์กล่าวว่า ก็มีเกียรติมีศักดิ์ศรี มีกิน มีใช้ไปพร้อมๆกันสัญญาตั้งนานแล้ว ตั้งแต่ตอนหาเสียงหลายปีแล้วไม่ใช่หรือ แต่จริงๆ ขออำนวยอวยพรให้เป็นอย่างที่นายกฯพูดจริงๆสักทีเหมือนกัน เพราะประชาชนรอมานานแล้ว แต่ไม่เป็นจริงสักครั้ง อย่างเช่น ปัญหาค่าไฟไม่แก้ที่ต้นตอ ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ กฎหมาย ที่นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รองนายกฯและ รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม ร่ำๆจะออกยังไม่ออกสักที และยังไม่รู้ว่าออกกฎหมายมาแล้วการบังคับใช้กฎหมายจะมีประสิทธิภาพแค่ไหน รวมถึงการปราบยาเสพติด เช่น ยาบ้ายังราคาถูก สะท้อนถึงกลไกราคา ถ้าปราบได้จริงยาบ้าต้องเเพงขึ้นตามกลไกตลาด วันนี้ยาบ้ายังหาง่าย ราคาถูกอยู่เหมือนเดิม การปราบยายังเป็นแค่ภาพลวงตา ยังไม่ได้ผลจริง ยังมีเรื่องกระทรวงคมนาคมด้วย อย่าคิดว่านามสกุลจึงรุ่งเรืองกิจแล้วจะรอด จะปลอดภัย จะไม่โดน จะโดนหนักกว่าใครด้วย ทำอะไรไว้รู้อยู่แก่ใจ และจะมีการส่งข้อมูลต่อให้ ป.ป.ช.หรือ สตง.เป็นสิ่งต้องทำอยู่แล้ว

“เท้ง” โอ่ ปชน.ไปต่อได้ถึง 44 สส.ถูกแบน

นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรค ปชน. กล่าวถึงคดีจริยธรรมของ 44 สส. อดีตพรรคก้าวไกลว่า ทีมกฎหมายเตรียมการไว้อย่างดี ยังอยากให้ย้อนคิดอีกครั้งว่าที่มาที่ไปของปัญหานี้เกิดจากกติกาไม่ชอบธรรม ทำให้องค์กรอิสระถูกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง จัดแบ่งทางการเมือง หากจะแก้ไขจริงๆอาจต้องโยงกลับไปการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ร่าง พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญที่เกี่ยวข้อง ไม่อยากให้มองเฉพาะคดี 44 สส.พรรคปชน.เท่านั้น แต่เป็นคดีที่อาจส่งผลกระทบกับสุขภาพทางการเมือง และระบบการเมืองของประเทศในอนาคต ที่ผ่านมาเคยเกิดประเด็นอำนาจหน้าที่องค์กรอิสระไม่เหมาะสม ส่งผลกระทบถึงพรรค พท. เช่น กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ต้องหลุดจากตำแหน่ง ทั้งนี้ จุดยืนพรรค ปชน.ไม่ได้ต้องการผลักดันแก้ไขเรื่องนี้เพื่อคนใดหรือพรรคใด แต่เป็นการแก้ตัวระบบ เพื่อทำให้องค์กรอิสระเป็นไปตามสากลมากขึ้น เมื่อถามว่าหากสุดท้าย 44 สส.ถูกตัดสิทธิทางการเมืองจริง พรรค ปชน.มีกำลังพอจะเดินหน้าต่อหรือไม่ นายณัฐพงษ์ตอบว่า ในพรรค ปชน.มีดาวเด่นในสภาฯหลายคน เชื่อมั่นไม่ว่าใครถูกตัดสิทธิในอนาคต ยังเชื่อว่าพรรค ปชน.เดินหน้าต่อได้ตราบใดที่ได้รับการสนับสนุนจากประชาชน

“โรม” รับพิษนิติสงครามบั่นทอนสมาธิ

นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคปชน.กล่าวถึงการตรวจสอบเข้มข้นของฝ่ายค้าน ในปี 68 ไปพร้อมการรับมือกับนิติสงครามคดี 44 สส.ที่ค้างอยู่ใน ป.ป.ช.ว่า ในสังคมเรียกร้องพวกเราและมีเสียงสะท้อนว่าฝ่ายค้านทำงานไม่เต็มที่ ยังลุยไม่พอ แต่อีกด้านหนึ่งมีขบวนการนิติสงครามเล่นงานเราตลอดเวลา ตั้งแต่พรรคก้าวไกลโดนยุบพรรค นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรค โดนสารพัด ต่อมาพรรค ปชน.สส. 44 คน มีคดีรออยู่อีก ที่ผ่านมาไม่ใช่เราตรวจสอบไม่เต็มที่ แต่ต้องเอาเวลาไปคิดเรื่องคดีต่างๆมากมาย ยอมรับว่าเสียสมาธิ สุดท้ายแทนที่จะโฟกัสการตรวจสอบรัฐบาล ต้องไปเสียเวลากับคดีความที่โดน ต้องวางแผนล่วงหน้ากันเยอะๆว่าตกลงเราจะเหลือขุนพลต่างๆเท่าไหร่ ต้องมีฉากทัศน์เตรียมเอาไว้ เป็นต้น

โอด ปชน.นักเตะที่กรรมการกาหัว

นายรังสิมันต์กล่าวอีกว่า ประเทศของเราตรวจสอบลำบาก คนตรวจสอบอาจซวยเสียเอง ถ้าเปรียบเป็นเกมฟุตบอล ที่กรรมการพร้อมจะตัดสินให้เราผิดตลอดเวลา บางทีมีใบแดงแถมให้ไล่ออกจากสนามทางการเมือง รู้มันไม่ใช่เกม พรรค ปชน.จะรับมือนิติสงครามอย่างไร ตอบตรงๆว่ามีทั้งปัจจัยที่คุมได้และคุมไม่ได้ ปัจจัยที่คุมได้คือการรวบรวมพยานหลักฐานต่อสู้คดี เราทำเต็มที่ แต่สุดท้ายดูเหมือนว่าประเทศเราไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของพยานหลักฐานและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นธรรมกับทุกฝ่ายหรือไม่ บางอย่างเราคุมไม่ได้ก็ทำอะไรไม่ได้ อย่างที่บอกให้มันรู้กันไปว่าประเทศนี้ฝ่ายตรวจสอบ โดนเล่นงานทางกฎหมาย ยิ่งฝ่ายตรวจสอบโดนแบบนี้ไปเรื่อยๆมันดีต่อประเทศไทยจริงหรือเปล่า

หยุดมองนักการเมืองคืออาชญากร

นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯกล่าวถึงสถานการณ์การเมืองปี 68 จะมีโอกาสเกิดคดีนำไปสู่การยุบพรรคการเมืองและตัดสิทธิ สส.หรือไม่ว่า ขึ้นอยู่กับองค์กรที่มีหน้าที่วินิจฉัย ไม่อยากมองในแง่ร้ายอย่างเดียวว่า ทุกคดีจะจบที่การยุบพรรคหรือตัดสิทธินักการเมือง ส่วนตัวมองว่ากฎหมายในขณะนี้อาจมีความรุนแรงมากไป การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังทำอยู่นี้ อาจช่วยแก้ไขสิ่งเหล่านี้ได้ ไม่ได้หมายความว่าจะต้องไม่มีกฎหมายบังคับในทางการเมือง แต่โทษยุบพรรคหรือตัดสิทธิตลอดชีวิตค่อนข้างรุนแรงเกินไป เพราะนักการเมืองไม่ใช่อาชญากร เขาใช้สติปัญญา ถ้าเราคิดว่านักการเมืองไม่ใช่อาชญากร โทษจึงสมควรกับความผิด ไม่ใช่การตัดสิทธิ 10 ปี 20 ปี ตลอดชีวิต หรือยุบพรรค พรรคการเมืองเป็นของประชาชน ไม่ควรจะยุบ ควรส่งเสริมให้พรรคการเมืองเข้มแข็ง หากยุบพรรคแล้วไปสร้างใหม่ พรรคการเมืองก็จะอ่อนแอตลอด

“นิกร” ติงแก้ ม.256 เสี่ยงถูกร้องสอย

ที่รัฐสภา นายนิกร จํานง ในฐานะเลขานุการกรรมาธิการ (กมธ.) ร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ กล่าวถึงกรณีสภาผู้แทนราษฎรเตรียมพิจารณาร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และหมวด 15/1 ที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน (ปชน.) เป็นผู้เสนอว่า ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะมีอุปสรรคปัญหาทางนิติศาสตร์ อาจมีสมาชิกรัฐสภาเสนอให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่าทําได้หรือไม่ แต่ถ้าไม่มีการยื่นศาล อาจมีปัญหาเหมือนปี 2563 ที่สมาชิกรัฐสภามีความกังวลในการลงคะแนนสนับสนุนร่างแก้ไขมาตรา 256 เพราะเป็นการกระทำที่ขัดต่อคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากไม่มีการทำประชามติก่อน และจะเสี่ยงถูกร้องผิดกฎหมายอาญา มาตรา 157 และมาตรฐานจริยธรรม นำไปสู่การถอดถอนได้

กระทบหมวด 1–2 หวั่น 2 สภาแตกหัก

นายนิกรกล่าวต่อว่า เชื่อว่าการพิจารณาในวาระ 1 โอกาสผ่านยากมาก แต่ถ้าผ่านไปได้การตั้งกรรมาธิการ (กมธ.) ในวาระ 2 ยากพอกัน เพราะเนื้อในร่างแก้ไขของพรรค ปชน.ไปหักอำนาจของวุฒิสภา (สว.) โดยเน้นสภาผู้แทนราษฎรมากเกินไป นอกจากนี้ยังไปถอด(8)ออกทั้งหมด ทําให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญหมวด 1 และหมวด 2 รวมถึงอำนาจขององค์กรอิสระ รัฐสภาและคณะรัฐมนตรี ไม่ต้องทำประชามติเป็นเรื่องใหญ่ เพราะเปลี่ยนหลักการสำคัญ จึงเชื่อว่าจะมีแรงต่อต้านค่อนข้างมาก และมีปัญหาในวาระ 3 แน่นอน ส่วนการพิจารณาร่างแก้ไขมาตรา 256 อาจเกิดความขัดแย้งรุนแรงระหว่างสองสภา อาจอภิปรายปะทะกันหนักจึงต้องระวังผลกระทบที่จะตามมาให้มาก หากไม่ได้อะไร มีแต่จะเกิดบาดแผลและความขัดแย้งที่ร้าวลึกลงไปอีก

“ชูศักดิ์” ลุยไฟเปิดประตูตั้ง ส.ส.ร.

นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ให้สัมภาษณ์ถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 ว่า นายวันมูฮะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภาจะใช้อำนาจสั่งบรรจุร่างแก้ไขมาตรา 256 ที่เสนอโดยพรรค ปชน. จากเดิมที่จะไม่บรรจุ เพราะกลัวขัดต่อคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ แต่ความเห็นฝ่ายกฎหมายสภาฯเปลี่ยนแปลงไป และได้ประสานไปยังแต่ละพรรคการเมืองว่า จะเสนอร่างประกบด้วยหรือไม่ ในส่วนพรรค พท. เคยเสนอไปแล้ว เพียงแต่ไม่ได้บรรจุ พรรคจะประชุมกันวันที่ 7 ม.ค.ว่าจะเสนอร่างที่มีอยู่แล้วหรือไม่ สาระสำคัญร่างพรรค พท.คือการแก้มาตรา 256 และเพิ่มหมวด 15/1 ว่าด้วยการมี ส.ส.ร.200 คน แบ่งตามจังหวัดและจำนวนประชากร

เมินเสียงค้านต้องทําประชามติ 3 ครั้ง

เมื่อถามว่ามีคนท้วงว่าหากไม่ทำประชามติ 3 ครั้งจะผิดกฎหมาย นายชูศักดิ์กล่าวว่า ยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่ แต่ถ้าบรรจุไปแล้วและหากมีคนขอให้ส่งเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยถือเป็นเรื่องดี จะได้วินิจฉัยไปเลยว่าสรุปแล้วจะเป็น 2 หรือ 3 ครั้ง หากทำประชามติ 2 ครั้งมีโอกาสที่การแก้รัฐธรรมนูญจะเสร็จทันรัฐบาลนี้ เพราะจะย่นเวลาจากที่รอ 180 วัน เมื่อถามถึงกรณีนายนิกร จำนง ผอ.พรรคชาติไทยพัฒนา ระบุว่าการแก้มาตรา 256 โดยไม่ทำประชามติก่อน เสี่ยงจะถูกร้องกฎหมายอาญา มาตรา 157 นายชูศักดิ์กล่าวว่า เราทำตามอำนาจหน้าที่สภาฯไม่ต้องวิตกกังวล ที่ผ่านมาเราคิดเรื่องนี้กันมาก แต่ลืมไปว่าเป็นอำนาจหน้าที่สภาฯ เราทำโดยสุจริตไม่ต้องกลัวอะไร ใครจะร้องว่ากันไป

ร่าง ปชน.รื้อ รธน.ล้างมรดกคณะปฏิวัติ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากรัฐสภาว่า หลังจากที่นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน เสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ยื่นต่อนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานรัฐสภา ช่วงกลางเดือน ธ.ค.2567 โดยประธานรัฐสภาเตรียมบรรจุวาระการประชุมในเดือน ม.ค.นั้น ล่าสุดสำนักงานเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรได้เผยแพร่เอกสารร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาตรา 256 ของรัฐธรรมนูญ 2560 และเพิ่มเติมหมวด 15/1 การจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ตามที่พรรคประชาชนเสนอ มีสาระสำคัญระบุเหตุผลการขอแก้ไขว่า รัฐธรรมนูญปัจจุบันมีปัญหาเรื่องความชอบธรรมทางประชาธิปไตย เชื่อมโยงคณะรัฐประหาร มีบทบัญญัติหลายประการไม่สอดคล้องหลักประชาธิปไตย จึงสมควรแก้ไข โดยมีสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่มาจากการเลือกตั้งของประชาชนมาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่

หั่นทิ้งเสียง 1 ใน 3 สว.ร่วมเห็นชอบ

สำหรับสาระที่แก้ไขที่สำคัญคือ แก้ไขมาตรา 256 ว่าด้วยหลักเกณฑ์การออกเสียงรับหลักการวาระแรก และเสียงเห็นชอบในวาระสาม จากเดิมที่กำหนดให้ต้องมีเสียงเห็นชอบจากสมาชิกรัฐสภาไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ และมีเสียง สว. 1 ใน 3 ร่วมเห็นชอบด้วย แก้ไขเป็นให้มีเสียงเห็นชอบในวาระ 1 และ 3 ไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกรัฐสภาที่มีอยู่ ในจำนวนนี้ต้องมีเสียง สส. ไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ร่วมด้วย โดยตัดเงื่อนไขการที่ต้องใช้เสียง สว.ร่วมเห็นด้วย 1 ใน 3 ทิ้งไป

เฟ้น 200 ส.ส.ร.ยกร่างกติกาใหม่

ขณะที่หมวด 15/1 ที่มีการเสนอขึ้นใหม่ว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ กำหนดให้มี ส.ส.ร. 200 คน มาจากการเลือกตั้งโดยตรงของประชาชน ด้วยกติกาบัตร 2 ใบ แบ่งเป็นเลือกแบบเขต สมัครในนามบุคคล 100 คน ใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และเลือกแบบบัญชีรายชื่อ 100 คน ใช้เขตประเทศเป็นเขตเลือกตั้ง กำหนดให้การเลือกแบบบัญชีรายชื่อ ผู้สมัครเป็น ส.ส.ร. ต้องลงสมัครเป็นทีมทีมละไม่น้อยกว่า 20 คนแต่ไม่เกิน 100 คน กำหนดให้คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) จัดการเลือกตั้ง ส.ส.ร. ให้เสร็จภายใน 60 วันนับแต่การให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยกำหนดการทำงานของ ส.ส.ร.ให้แล้วเสร็จภายใน 360 วันนับจากวันประชุมนัดแรก หากทำไม่เสร็จตามกรอบเวลาให้สิ้นสุดสมาชิกภาพ และตั้งคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 45 คน มายกร่างรัฐธรรมนูญ

หักดาบไม่ต้องขอความเห็นชอบรัฐสภา

ขณะที่ขั้นตอนการเห็นชอบร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ กำหนดว่าต้องเสนอต่อรัฐสภาเพื่อให้อภิปรายแสดงความคิดเห็นโดยไม่มีการลงมติ ภายใน 7 วัน เมื่อเสร็จสิ้นให้ กกต. นำไปออกเสียงประชามติภายในเวลา 90-120 วัน พร้อมกำหนดการตั้งคำถามประชามติจะต้องชัดเจน เข้าใจง่าย ไม่ชี้นำ และเป็นกลางต่อทุกฝ่าย เมื่อทำประชามติเสร็จให้ กกต.ประกาศผลภายใน 15 วัน กรณีที่ผลประชามติเห็นชอบ ให้ประธาน ส.ส.ร.นำขึ้นทูลเกล้าฯถวาย แต่หากประชามติไม่เห็นชอบให้ถือว่าตกไป พร้อมกำหนดบทที่ใช้บังคับกรณีการจัดทำรัฐธรรมนูญตกไปว่า ให้สิทธิสมาชิกรัฐสภาเสนอญัตติเพื่อจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ได้ 1 ครั้งในสมัยของรัฐสภา และภายในเวลา 5 ปี ที่สมาชิกภาพ ส.ส.ร. สิ้นสุด ห้ามดำรงตำแหน่ง นายกฯ รัฐมนตรี สส. สว. สมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น ผู้พิพากษาศาลฎีกา ตุลาการศาลปกครองสูงสุด ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ผู้ดำรงตำแหน่งองค์กรอิสระ และอัยการสูงสุด

ฟัน 3 อดีต สส.ฝากเสียบบัตรลงคะแนน

วันเดียวกัน นายสาโรจน์ พึงรำพรรณ เลขาธิการคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) แถลงว่า คณะกรรมการ ป.ป.ช.มีมติชี้มูลความผิดนายชัยวุฒิ ผ่องแผ้ว อดีต สส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายภิรพล ลาภาโรจน์กิจ อดีต สส.สงขลา พรรค ปชป. และนายศรัณย์วุฒิ ศรัณย์เกตุ อดีต สส.อุตรดิตถ์ พรรค พท. กรณีฝากผู้อื่นเสียบบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ลงคะแนนแทนกันในการลงมติ ร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ เมื่อวันที่ 20 ก.ย.56 โดยตนเองไม่อยู่ในที่ประชุมสภาฯ จากการไต่สวนพบว่า เมื่อวันที่ 20 ก.ย.56 ในการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ ปรากฏชื่อนายชัยวุฒิ นายภิรพลและนายศรัณย์วุฒิ ลงคะแนนทั้งที่ทั้ง 3 คน ไม่อยู่ในที่ประชุมสภาฯตลอดการประชุม เนื่องจากเดินทางไป-กลับต่างจังหวัดโดยเครื่องบิน รับฟังได้ว่านายชัยวุฒิ นายภิรพลและนายศรัณย์วุฒิฝากบัตรประจำตัวอิเล็กทรอนิกส์ไว้กับ สส.คนอื่นให้ลงคะแนนแทน มีมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2542 ให้ส่งสำนวนการไต่สวน เอกสารหลักฐานไปยังอัยการสูงสุด เพื่อฟ้องคดีต่อศาลต่อไป

เชือด สส.ภท.ให้คนอื่นจ่ายค่าหมอแทน

นายสาโรจน์กล่าวว่า ที่ประชุม ป.ป.ช.ยังชี้มูล ความผิดนายณัฏฐ์ชนน ศรีก่อเกื้อ สส.สงขลา พรรคภท. รับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากบุคคลใด จากการไต่สวนพบว่า ขณะนายณัฏฐ์ชนนเป็น สส.บัญชีรายชื่อ พรรค ภท.เข้ารับการรักษาพยาบาลที่ รพ.พญาไท 2 ระหว่างวันที่ 19-21 ก.ย.62 และวันที่ 23 ก.ย.-18 ต.ค.62 มีค่ารักษาพยาบาล 1,449,223 บาท นายณัฏฐ์ชนนยอมให้บุคคลอื่นชำระค่ารักษาพยาบาลแทนตนเองเป็นเงิน 1,335,778 บาท และนำใบเสร็จไปเบิกค่ารักษาพยาบาลจากสำนักงานเลขาธิการสภาฯที่เบิกได้ 495,409.50 บาท มีส่วนเกินสิทธิไม่สามารถเบิกจ่ายได้ 953,813.50 บาท ต่อมานายณัฏฐ์ชนนเสนอแต่งตั้ง 1 ใน 3 บุคคลที่ชำระค่ารักษาพยาบาลแทนเป็นผู้เชี่ยวชาญประจำตัว ตามคำสั่งสำนักงานเลขาธิการสภาฯวันที่ 1 ต.ค.63 ถือว่ามีมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 และความผิดฐานฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรง ให้ส่งสำนวนการไต่สวนเอกสารพยานหลักฐานไปยังอัยการสูงสุดฟ้องคดีต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง และเสนอเรื่องฝ่าฝืนหรือไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางจริยธรรมอย่างร้ายแรงต่อศาลฎีกาเพื่อวินิจฉัย

มัดผิดอดีตบิ๊กการบินไทยทุจริตเบิกเงิน

นายสาโรจน์กล่าวว่า ป.ป.ช.ยังชี้มูลความผิดนายพฤทธิ์ บุปผาคำ อดีตรองกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สายการพาณิชย์ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กับพวกร่วมกันชำระค่าใช้จ่ายแก่บริษัท เซาเทิร์นแอร์ จำกัด จำนวน 10,550,653 ดอลลาร์สหรัฐฯโดยมิชอบ จากการไต่สวนพบว่า เมื่อวันที่ 5 ธ.ค.52 นายพฤทธิ์อนุมัติเงินค่าใช้จ่ายเป็นค่าธรรมเนียมลงจอดและค่านำร่องแก่บริษัท เซาเทิร์นแอร์ จำกัด ที่เรียกเก็บเงินดังกล่าวพร้อมใบแจ้งหนี้ค่าจัดซื้อพื้นที่ระวางบรรทุกสินค้าประจำเดือน พ.ย.52 และนายพูนศักดิ์ ชุมช่วย อดีต ผอ.ฝ่ายขายระวางสินค้าและไปรษณียภัณฑ์ มีหนังสือไปยังฝ่ายบัญชีการเงินว่า บริษัท การบินไทยฯเป็นผู้รับผิดชอบค่าใช้จ่าย ทั้งที่ทราบอยู่แล้วว่าตามสัญญาให้ค่าธรรมเนียมลงจอดและค่านำร่องเป็นค่าใช้จ่ายที่บริษัท เซาเทิร์นแอร์รับผิดชอบ ไม่สามารถขอรับชำระคืนจากบริษัท การบินไทย ทำให้บริษัท การบินไทย ต้องชำระเงินค่าธรรมเนียมลงจอด ค่านำร่องแก่บริษัท เซาเทิร์นแอร์ เป็นเงิน 19,892 ดอลลาร์ สหรัฐฯ และต้องชำระเงินตามที่ฝ่ายการพาณิชย์สินค้าและไปรษณียภัณฑ์เสนอมาโดยตลอดจนถึงเดือน ส.ค.54 ทำให้บริษัท การบินไทย เสียหาย เป็นเงิน 10,550,653 ดอลลาร์สหรัฐฯ มีมูลความผิดทางอาญาตาม พ.ร.บ.ความผิดของพนักงานในองค์การหรือหน่วยงานของรัฐ พ.ศ.2502 และมีมูลความผิดทางวินัยร้ายแรง ให้ส่งสำนวนการไต่สวนไปยังอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญาต่อศาลและส่งสำนวนการไต่สวนไปยังผู้บังคับบัญชาดำเนินการทางวินัย รวมถึงให้แจ้งบริษัทการบินไทยดำเนินการเพื่อให้มีการชดใช้ค่าเสียหายต่อไป

“สุรเกียรติ์” แนะทางออกพื้นที่ทับซ้อน

นายสุรเกียรต์ิ เสถียรไทย อดีต รมว.ต่างประเทศ ในฐานะผู้ลงนามในเอ็มโอยู 44 ให้สัมภาษณ์ถึง ทางออกปัญหาพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชาว่า 2 ประเทศต้องเจรจากันในพระบรมราชโองการที่ประกาศเขตเอาไว้บอกให้ไปเจรจากัน ถ้าเจรจาแล้วไม่พอใจ ไทยไม่ต้องตกลง ถ้าพอใจเอาเข้ารัฐสภา ไม่ใช่เรื่องใหม่มีประมาณ 40-50 กรณีทั่วโลก ตามกฎหมายระหว่างประเทศว่าด้วยทะเล ระบุเอาไว้ “อนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยกฎหมายทะเล 1982” ให้มาตรการชั่วคราวในการเจรจา เพราะพื้นที่ทะเลอ่าวไทยกว้างไม่ถึง 200ไมล์ทะเล แต่ให้เราประกาศได้ 200 ไมล์ทะเล มันก็ทับกัน ไทยประกาศไปชนกับเขา เขาประกาศชนกับไทย สิ่งที่ทับซ้อนไม่ใช่พื้นที่ เป็นสิทธิเรียกร้องทับซ้อน เหมือนกับว่าไทยไปยอมรับว่ามีทับซ้อนทำให้ไทยเสียดินแดนมันไม่ใช่ ทางออกคือเจรจาเอ็มโอยู 44 ที่ตั้งขึ้นมาเพื่อเจรจาแบ่งผลประโยชน์และเจรจาเส้นเขตแดนไปด้วย อย่าแยกต่างหากจากกัน ถ้าไม่มีเอ็มโอยู ไม่มีคณะเจรจา ถ้าไม่มีเอ็มโอยูสิทธิเรียกร้องมาทับซ้อนกันหายไป ถ้าเผื่อว่ารัฐบาลทุกฝ่ายบอกว่าเอ็มโอยู 44 ไม่ดีจะยกเลิกก็ยกเลิกไม่เป็นไร แต่ยกเลิกแล้วได้อะไรขึ้นมา เราไม่ได้พื้นที่นั้นเข้ามา

คาราวาน ปชน.เขย่า อบจ.จันทบุรี

ผู้สื่อข่าวรายงานจากพรรคประชาชน (ปชน.) การปรับทัพสู้ศึกเลือกตั้ง อบจ.จันทบุรี ว่า เดิมพรรค ปชน.ส่งขุนพล อาทิ นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร รองหัวหน้าพรรคลงพื้นที่ ตั้งเเต่เดือน พ.ย.ช่วยผลักดันนายมานะ ชนะสิทธิ์ ผู้สมัครนายก อบจ.จันทบุรี หมายเลข 1 ลุยหาเสียงตั้งแต่โค้งแรกถึงโค้งสุดท้าย วันเลือกตั้งวันที่ 1 ก.พ. ล่าสุด พรรค ปชน.จะเปิดศักราชใหม่ 2568 โดยจัดคาราวานใหญ่ 3 สาย “มานะ...มาแน่” ระดมทีมงานและผู้นำพรรคลงพื้นที่ทั่วทั้งจังหวัดวันที่ 4 ม.ค. สายที่ 1 นำโดย น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล รองหัวหน้าพรรค ไป อ.สอยดาว สายที่ 2 นางอมรัตน์ โชคปมิตต์กุล อดีตกรรมการบริหารพรรคก้าวไกล (ก.ก.) ไปตลาดพลอย อ.เมือง สายที่ 3 นายวิโรจน์ นำขบวนคาราวานไป อ.ท่าใหม่ ย้ำนโยบายที่นายมานะ พร้อมเร่งทำทันทีพัฒนาแหล่งน้ำเพื่อเกษตรกรจันทบุรี ช่วยเพิ่มปริมาณน้ำดิบให้สวนผลไม้ น้ำประปามีคุณภาพ ส่งเสริมการท่องเที่ยวโฮมสเตย์ ส่วนนโยบายอื่นๆ อาทิ การจัดหาโดรนและติดตั้งกล้อง AI เฝ้าระวังช้างป่า การสนับสนุนงบฯฟื้นฟูอาชีพประมงรองรับ พ.ร.บ.ประมงฉบับใหม่ การพัฒนาโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบลและการใช้ระบบแพทย์ทางไกล (Telemedicine) ลดความแออัดในโรงพยาบาล เป็นต้น

แฉแชตไลน์สั่งรายงาน ปชน.หาเสียง

นายชัยธวัช ตุลาธน อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ในฐานะผู้ช่วยหาเสียงพรรค ปชน. ทวีตข้อความพร้อมภาพผ่าน x อ้างว่าเป็นภาพแชตไลน์ปลัดอำเภอคนหนึ่ง ไลน์ไปในกลุ่มกำนัน-ผู้ใหญ่บ้าน สั่งการให้ติดตามการหาเสียง อบจ.พรรค ปชน. โดยนายชัยธวัชระบุว่ามาช่วยหาเสียงให้ทีม อบจ.เชียงใหม่-ลำพูน เลือกตั้ง อบจ.คราวนี้นอกจากผิดปกติจัดเลือกตั้งวันเสาร์ ทำให้หลายคนติดงานไม่สะดวกไปใช้สิทธิแล้ว น่ากังวลว่าอาจมีการใช้อำนาจรัฐเอื้อประโยชน์ให้ผู้สมัครบางคนหรือบางพรรคด้วย เช่น มีปลัดอำเภอส่งข้อความไปในกลุ่มไลน์กำนันและผู้ใหญ่บ้านตำบลหนึ่ง แจ้งว่า “ทางท่านนายอำเภอ xxx ได้มี ว0[คำสั่ง]ให้กำนัน ผู้ใหญ่บ้านลงพื้นที่ หรือมอบหมายผู้ช่วยผู้ใหญ่บ้าน สารวัตร กำนันติดตาม/บันทึกภาพฯ กิจกรรมของพรรค ปชน.รายงานให้ทราบ” ทำไมถึงมีคำสั่งกับแค่พรรคเดียว นายกฯ รมว.มหาดไทย ผู้ช่วยหาเสียงผู้มากบารมีเหนือนายกฯ มีส่วนรู้เห็นหรือสั่งการให้กระทำหรือไม่

“ทักษิณ” ไปเชียงรายขึ้นปราศรัย 3 เวที

น.ส.ปิยะรัฐชย์ ติยะไพรัช สส.เชียงราย เขต 2 พรรค พท. เปิดเผยว่า วันที่ 5 ม.ค. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จะลงพื้นที่ช่วยนางสลักจฤฎดิ์ ติยะไพรัช ผู้สมัครนายก อบจ.เชียงราย หาเสียง ขึ้นปราศรัย 3 เวที เวทีแรกที่โรงเรียนปล้อง อ.เทิง เวทีที่ 2 โรงเรียนห้วยซ้อ อ.เชียงของ และเวทีสุดท้ายโรงเรียนแม่จันวิทยาคม อ.แม่จัน ก่อนเดินทางกลับในวันเดียวกัน ที่ผ่านมาชาวเชียงรายยังเชื่อมั่นในตัวนายทักษิณไม่ลดลงจากยุคพรรคไทยรักไทย (ทรท.) และเชื่อมั่นทีมงาน นโยบายและเชื่อว่าประชาชนจะไว้ใจให้เราเข้ามาทำงาน ที่สำคัญในวันที่ 5 ม.ค.ชาวเชียงรายตั้งใจรอพบอดีตนายกฯทักษิณในดวงใจของพวกเขา

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากนั้นวันที่ 12 ม.ค. นายทักษิณจะไปช่วยหาเสียงให้ น.ส.ตวงรัตน์ โล่ห์สุนทร ผู้สมัครนายก อบจ.ลำปาง วันที่ 18 ม.ค. ช่วยนายอนุชิต หงษาดี ผู้สมัครนายก อบจ.นครพนม หาเสียง

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่