“บัญญัติ บรรทัดฐาน” วิเคราะห์ปี 68 เป็นปีแห่ง “ความรุ่มร้อน” ปัญหาคาราคาซังรุมเร้า “เขากระโดง-อัลไพน์-ชั้น 14” ย้ำ MOU44 ดอดแบ่งประโยชน์ 50:50 ซ้ำรอย “เขาพระวิหาร” มั่นใจบทบาทผู้นำฝ่ายค้านปีหน้าน่าดู เตือน “ทักษิณ” คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ

วันที่ 31 ธ.ค. 2567 นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) กล่าววิเคราะห์สถานการณ์การเมืองในปี 2568 ว่า ส่วนตัวเห็นว่า ปี 68 จะเป็นปีแห่งความรุ่มร้อน และร้อนรุ่ม ด้วย 3 เหตุผล คือ 1. การเมืองในปี 67 ต้องยอมรับว่า ร้อนกันอยู่แล้ว ทั้งปัญหาด้านเศรษฐกิจ สังคม และการเมือง ประชาชนประสบปัญหาเศรษฐกิจครัวเรือน ซ้ำยังเกิดน้ำท่วมใหญ่ทั่วภูมิภาคเหนือ กลาง ใต้ ยิ่งซ้ำเติมให้ประชาชนเดือดร้อนมากยิ่งขึ้น ขณะที่รัฐบาลยังมุ่งแก้ไขปัญหาโดยใช้นโยบายประชานิยมเน้นแจกเงิน ที่เป็นนโยบายเฉพาะหน้า ไม่ได้แก้ที่รากฐานที่ยั่งยืน รัฐบาลยังหลงตัวเลขจีดีพีทางเศรษฐกิจว่า เติบโตอยู่ที่ 2.6 และ 2.8% ทั้งที่ดูแล้ว ไม่เห็นมีปัจจัยใดที่ค้ำจุนเศรษฐกิจให้มั่นคงถาวรได้ เพราะเศรษฐกิจไทยอยู่ได้การส่งออกกับการท่องเที่ยว เราหวังจากการท่องเที่ยวมากเป็นพิเศษใช้นโยบายฟรีวีซ่า หวังนักท่องเที่ยวคุณภาพจะมาใช้จ่ายสูง แต่กลายเป็นนักท่องเที่ยวไม่มีคุณภาพมาแทน ส่วนรายได้จากการส่งออก น่าเป็นห่วง กรณีสหรัฐอเมริกาได้ผู้นำใหม่ อาจปรับเปลี่ยนนโยบายต่อจีน ซึ่งรวมถึงไทยที่เขาเสียดุล เราอาจอยู่ในเป้าหมายของสหรัฐฯ ที่อาจโดนสองต่อ คือถ้าสหรัฐฯ ขึ้นภาษีนำเข้าจากไทย 10 เปอร์เซ็นต์ เราก็จะแย่ และถ้าสหรัฐฯ เล่นจีนหนักก็หวั่นใจว่าจะกระทบกับไทยด้วย เพราะจีนถือเป็นคู่ค้าสำคัญของไทยด้วย ขณะนี้สินค้าราคาถูกจำนวนมากจากจีนทะลักมาตีตลาดในไทย ตนจึงห่วงว่า เศรษฐกิจไทยปี 68 ยังหวังอะไรไม่ได้ ประชาชนยังประสบความลำบาก และรุ่มร้อนต่อไป ถ้าระดับเพิ่มมากๆ เกรงว่า ทุกคนจะมากดดันรัฐบาลให้ร้อนรุ่มเพิ่มไปด้วย

...

นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า 2. ปัญหาสังคม จะรุมเร้ารัฐบาลจนรุ่มร้อน เช่น ปัญหายาเสพติด การฉ้อโกง คดีฉกชิงวิ่งราวจะเพิ่มขึ้น แต่ประชาชนจะอึดอัดโดยเฉพาะผู้ที่ตื่นตัวทางการเมือง คือความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม การเลือกปฏิบัติ เป็นเรื่องน่ากลัวมากที่สุด เฉพาะกรณีกรมราชทัณฑ์ในคดีนายทักษิณ ชินวัตร ที่เข้ารักษาตัวชั้น 14 รพ.ตำรวจ แม้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และแพทยสภาเริ่มเคลื่อนไหว ต้องติดตามว่าท้ายที่สุด ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ยังบอกไม่ได้ว่า ผู้ที่เกี่ยวข้องกับนายทักษิณในเรื่องนี้จะไปให้ถ้อยคำกับป.ป.ช.อย่างไร ส่วนเรื่องที่ดินเขากระโดง จ.บุรีรัมย์ ก็เป็นเรื่องใหญ่เพราะคาราคาซังมานาน ศาลฎีกามีคำพิพากษาแล้ว แต่หน่วยงานเกี่ยวข้องไม่ปฏิบัติตามคำพิพากษาศาล ฝ่ายผู้ครอบครองที่ดินก็ไม่ใช่คนธรรมดา ยังต่อสู้ไม่ยอมแพ้จึงไม่แน่ใจว่าเรื่องจะบานปลายมากน้อยแค่ไหน รวมถึงเรื่องปัญหาที่ดินอัลไพน์ที่แม้จะมีคนยื่นเรื่องให้องค์กรอิสระตรวจสอบแล้วเช่นกัน ถือว่าเรื่องเหล่านี้น่ากลัว

“อีกทั้งปัญหาคือกรณี MOU 44 ระหว่างไทยกับกัมพูชา สิ่งที่น่าห่วงคือ คำพูดของคุณทักษิณที่ระบุว่า หากการปักปันหรือแบ่งเขตพื้นที่ทับซ้อนยังมีปัญหา ก็ให้ไปตกลงแบ่งผลประโยชน์ทรัพยากรธรรมชาติใต้ทะเลกันเสียก่อน เพราะถ้ายิ่งทิ้งเวลาไว้นาน ก็จะยิ่งไร้คุณค่าเพราะในอนาคตคนจะหันไปให้พลังงานบริสุทธิ์มากขึ้น และยิ่งหากจะให้ไปแบ่งผลประโยชน์แบบ 50:50 ผมมองว่า มันทำไม่ได้ ฝ่ายที่ออกมาต่อต้านเรื่องนี้ก็มีเหตุผล เพราะเขาเรียกร้องให้จัดการพื้นที่เขตทับซ้อนบริเวณไหล่ทวีปให้เสร็จเสียก่อน ที่จะไปแบ่งผลประโยชน์ทรัพยากรทางทะเล และยิ่งถ้าแบ่งเขตพื้นที่ได้อย่างตรงไปตรงมา ผมเชื่อว่า 90 เปอร์เซ็นต์ของทรัพยากรในพื้นที่นี้จะเป็นของไทย แต่ถ้าจะแบ่งกันแบบ 50:50 หรือ 60:40 สังคมไทยจะคัดค้าน ที่หนักกว่านั้น หากไปตกลงแบ่งทรัพยากรกันก่อน จะดูเหมือนเรายอมรับการอ้างสิทธิ์ของฝ่ายกัมพูชาว่ามีมูล หลายคนเกรงว่า หากปล่อยไว้นาน ไทยจะเจอกฎหมายปิดปากแบบคดีเขาพระวิหาร เช่นในอดีต เพราะเรื่องการตั้งคณะกรรมการเจทีซี ตามเอ็มโอยูที่ยังคาราคาซัง ผมมองว่าการที่รัฐมนตรีเข้าประชุม ครม.ไม่ครบ จนทำให้คุณทักษิณอารมณ์เสีย ไปอาละวาดข้างนอก เพราะรัฐมนตรีกลัวเรื่องนี้ด้วย วันนั้นรัฐมนตรีหลายคนกลัวสองเรื่อง คือ 1.) การแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติ กับ 2.) การแต่งตั้งคณะกรรมการเจทีซี เขาไม่อยากไปรับรู้ด้วย” นายบัญญัติ กล่าว

นายบัญญัติ กล่าวต่อว่า นอกจากนี้ยังมีหลายเรื่องที่มีการร้องเรียนต่อองค์กรอิสระ โดยเฉพาะป.ป.ช.ที่จะผุด ปะทุในปี 2568 ทั้งเรื่องความไม่ชอบธรรม ความเหลื่อมล้ำในกระบวนการยุติธรรม การเลือกปฏิบัติจะยิ่งชัดขึ้น สังคมไทยจะเกิดความรุ่มร้อนเหลืออดเหลือทนจนต้องลงถนน ความรู้สึกเชื่อมั่นต่อรัฐบาลจะลดลงต่อเนื่อง แม้รัฐบาลจะมีเสียงมากก็จริง แต่ความรู้สึกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริงนั้น ไม่มี สังเกตได้ว่า ระยะหลัง มักมีการช่วงชิงความได้เปรียบระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกันเอง นับตั้งแต่เริ่มตั้งรัฐบาลพรรคการเมืองอันดับสองใช้เกมช่วงชิงอำนาจ กดดันพรรคแกนนำพ้นจากการเป็นผู้นำ ในอดีตไม่เคยเห็นปรากฏการณ์เช่นนี้ มีแต่พรรคแกนนำอันดับหนึ่งกดดันพรรคร่วมรัฐบาลให้ออกไป แล้วเอาพรรคอื่นเข้ามาแทน แต่นี่เล่นเกมกันตลอดไปดึงพรรคที่ประกาศตอนหาเสียงว่า หัวเด็ดตีนขาดก็จะไม่ร่วมรัฐบาลมาร่วมด้วย ดังนั้น การร่วมรัฐบาลครั้งนี้เรียกได้ว่า เป็นการร่วมแบบหลวมๆ รอช่วงชิงความได้เปรียบเสียเปรียบตลอดซึ่งเกมนี้จะร้อนแรงตลอดในปี 68 แน่นอน

นายบัญญัติ กล่าวอีกว่า รวมถึงการช่วงชิงระดับท้องถิ่นในการเลือกตั้งนายกฯ อบจ.ทั่วประเทศในวันที่ 1 ก.พ. 2568 ตรงนี้จะเป็นการตอกย้ำความกินแหนงแคลงใจระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลด้วยกัน แต่ที่น่าอันตรายกับการพัฒนาประชาธิปไตย คือการช่วงชิงท้องถิ่นของบ้านใหญ่ เพื่อให้เข้ามาค้ำจุนเสถียรภาพของรัฐบาล ดังนั้นการจะแก้ปัญหาผู้มีอิทธิพลในสังคมไทยซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัญหาใหญ่ ก็จะทำได้ยาก เมื่อท้องถิ่นที่มีอิทธิพลเชื่อมกับการเมืองใหญ่จะยิ่งมีอิทธิพลมากขึ้น ทำให้ข้าราชการยิ่งเกรงใจ “ส่วนบทบาทของฝ่ายค้านจะมีมากขึ้น การอภิปรายทั่วไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 152 คงไม่เกิดขึ้น แต่จะเป็นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ตามมาตรา 151 มากกว่า ซึ่งเป็นเรื่องที่ถูกต้อง และเป็นหน้าที่ที่ควรทำ หากสามารถทำให้รัฐบาลตั้งอยู่ในหลักในเกณฑ์ รัฐสภามีความแข็งแกร่งแก้ปัญหาของประเทศได้ ความจลาจลที่อาจเกิดขึ้นก็จะลดลง แต่ตนไม่มั่นใจว่าจะทำสำเร็จได้มากน้อยแค่ไหน ได้แต่ภาวนาว่าขอให้ทำได้ มิฉะนั้นอาจเกิดวิกฤตในประเทศอีกครั้งก็เป็นได้ ส่วนจะมาในรูปแบบไหนนั้น ไม่สามารถคาดเดาได้ แต่ความรู้สึกอึดอัดที่ได้รับมาตลอดในปี 2567 ผมมั่นใจว่าบทบาทของฝ่ายค้านในปีหน้า น่าดูชมได้พอสมควร” นายบัญญัติ กล่าว

เมื่อถามว่า ขณะนี้ทุกพรรคที่ร่วมรัฐบาลยังไม่อยากให้รีบมีการเลือกตั้งใหม่ จึงต้องช่วยประคองกันให้อยู่ครบ 4 ปี เพื่อแต่ละพรรคจะได้เก็บทรัพยากรให้ได้มากที่สุด นายบัญญัติ กล่าวว่า เป็นเช่นนั้น ตนเคยพูดว่า “เขาคงโกรธง่ายหายเร็ว” เพราะถ้าลำดับปัญหาให้เห็นแล้วว่า มันมีมากมาย ถ้ายังใช้นโยบายเดิมๆ คิดแค่กระตุ้นเศรษฐกิจ ถามว่าจะเอางบมาจากที่ไหนในเมื่อหนี้สาธารณะเกือบจะชนเพดานแล้ว ปัญหาเหล่านี้จะทำให้พรรคร่วมรัฐบาลคิดหนักว่า จะอยู่ล่มไปพร้อมๆ กันหรือไม่ เมื่อถามว่า ตัวที่เร่งให้การเมืองร้อนรุ่มมากยิ่งขึ้นคือนายทักษิณด้วยใช่หรือไม่ นายบัญญัติกล่าวว่า นายทักษิณมีคนชื่นชมมาก แต่ก็มีคนที่เกลียดอยู่จำนวนไม่น้อย ตามคำโบราณที่ว่า “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” พอมีการขับเคี่ยวกันหนักๆ มีการหยิบยกพฤติกรรมในอดีต และความล้มเหลวในระบอบทักษิณมาพูดให้สังคมรับรู้มากขึ้น ยกตัวอย่างวันนี้หลายสื่อหยิบยกคดีนายทักษิณแพ้ในอดีตขึ้นมาพูด บางคดียังคาราคาซัง และเป็นบทเรียนด้วยว่าดูนักการเมือง อย่าดูเฉพาะหน้าฉาบฉวย หรือดูแต่นโยบายประชานิยมอย่างเดียวไม่ได้ ต้องดูพฤติกรรมด้วยว่า ในอดีตที่มาเป็นอย่างไร และอนาคตจะเป็นอย่างไร