มาแล้วฉายาสภา ปี 67 สภาผู้แทนฯ-"เหลี่ยม (จน) ชิน" ย้ำภาพสภาสูง "เน วิ (น) เกเตอร์" "วันนอร์" สวมบท “รูทีนตีนตุ๊กแก” ประธานวุฒิฯ สมฉายา “ล็อกมง” ผู้นำฝ่ายค้านรับไปลอย “เท้งเต้ง” “ลุงป้อม-ธิษะณา” ควงคู่ดาวดับ ปีนี้ไร้ “ดาวเด่น” ขณะที่วาทะแห่งปีเป็นของนายกฯ “อิ๊งค์” “ทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี” เพื่อไทยจูบปากดึงประชาธิปัตย์ร่วม รบ.ครองเหตุการณ์เด่น “พิเชษฐ์-ชลน่าน” ฟัดกันคู่กัดแห่งปี “ณัฐพงษ์”ไม่น้อยใจฉายาที่สื่อตั้ง ลั่นไม่ทิ้งตรวจสอบแน่ “แก้วตา” น้อมรับนำไปปรับปรุงตัว “บัญญัติ” ยกเป็นกระจกสะท้อนดูตัวคนเสื้อแดงจี้ดีเอสไอรื้อคดี 99 ศพ
เปิดฉายารัฐสภา ประจำปี 2567 ที่ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาร่วมกันตั้งเพื่อสะท้อนภาพรวมการทำงานในรอบปี แซ่บพอหอมปากหอมคอ ฉายาสภา “เหลี่ยม (จน) ชิน” วุฒิสภาเป็น “เนวิ(น)เกเตอร์” นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาฯ สวมบท “รูทีนตีนตุ๊กแก” ส่วนนายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา สมฉายา “ล็อกมง”
ฉายาสภาปี 67 “เหลี่ยม (จน) ชิน”
เมื่อวันที่ 26 ธ.ค. ผู้สื่อข่าวประจำรัฐสภาร่วมกันตั้ง “ฉายาสภา” เป็นธรรมเนียมประจำทุกปี เพื่อสะท้อนความคิดเห็นการทำหน้าที่ของฝ่ายนิติบัญญัติ ทั้ง สส.และ สว.ตลอดปี 2567 ในฐานะที่ติดตามการทำหน้าที่ของ สส. และ สว.มาตลอด ดังนี้ “สภาผู้แทน ราษฎร” ได้รับฉายา “เหลี่ยม (จน) ชิน” ปี 2567 เกิดการพลิกขั้วรัฐบาลเพื่อไทยอีกครั้ง เขี่ยพรรคพลังประชารัฐออกจากพรรคร่วมรัฐบาล และดึงพรรคประชาธิปัตย์เสียบแทน ถือเป็นการพลิกขั้วทางการเมืองครั้งสำคัญ แต่ไม่ปรากฏสาเหตุแน่ชัดในการปรับพรรคพลังประชารัฐพ้นรัฐบาล มีเพียงสัญญาณจากนายใหญ่ตระกูลชินเท่านั้น และยังมีการหักเหลี่ยมกันระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทยในการพิจารณาหลักเกณฑ์ประชามติแก้รัฐธรรมนูญ กลายเป็นศึก “อีแอบ” บนเรือรัฐนาวา และยังมีอีกหลายเหลี่ยมที่เกิดขึ้นในสภาฯ ทั้ง พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม หรือแม้แต่รายงานนิรโทษกรรม ที่เปลี่ยนใจตอนท้าย ประกาศสนับสนุนแล้ว แต่ สส.กลับสวนมติพรรค ทำให้สมัยประชุมนี้ต้องคุ้นชินกับเหลี่ยมของผู้ทรงเกียรติ
...
จัดให้วุฒิสภา “เนวิ(น)เกเตอร์”
สำหรับวุฒิสภา ได้ฉายา “เนวิ(น)เกเตอร์” เนื่องจากกติกาการเลือกวุฒิสภาที่ซับซ้อนไม่หมู แต่กลายเป็น “กติกาหนูๆ” เห็นได้จากผลการลงมติอย่างสม่ำเสมอของ สว.ในเรื่องต่างๆ ที่จะเกาะกลุ่ม 150-160 เสียง ทำให้ถูกมองเป็นเครือข่ายสายตรงพรรคการเมืองสีน้ำเงิน สะท้อนให้เห็นว่าเบื้องหลังการลงมติมีบ้านใหญ่บุรีรัมย์เป็น “เนวิเกเตอร์” ชี้นำอยู่เบื้องหลัง
“ปธ.วันนอร์” เป็น “รูทีนตีนตุ๊กแก”
นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร ได้รับฉายา “รูทีนตีนตุ๊กแก” นอกจาก นายวันมูหะมัดนอร์จะสามารถปฏิบัติหน้าที่งานรูทีนของตนเองได้เป็นอย่างดีแล้ว ยังสามารถหนีบเก้าอี้ของตัวเองได้ดียิ่งกว่า หลังกระแสข่าวการแลกเก้าอี้ประธานสภาฯ กับเก้าอี้รัฐมนตรี หรือกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยทวงคืนบัลลังก์สะพัด แต่นายวันมูหะมัดนอร์ยังสามารถรับมือ หนีบเก้าอี้ตัวนี้ไว้ได้อย่างเหนียวแน่นหนึบ ใครก็ไม่สามารถเปลี่ยนตัวประธานสภาฯ ได้ เว้นแต่ตนปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้แล้ว
“ล็อกมง” มอบให้ประมุขสภาสูง
นายมงคล สุระสัจจะ ประธานวุฒิสภา ได้รับฉายา “ล็อกมง” คือ “ล็อกมงคล” มาตั้งแต่ไก่โห่ หลังมีกระแสข่าวค่ายน้ำเงินล็อก “มงคล” เป็นประธานวุฒิสภา และวุฒิสภายังเทคะแนนให้ “มงคล” ด้วยมติท่วมท้น 159 เสียง เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ถึงความเหมาะสม หรือเป็นเด็กนายที่ล็อกมงมาแต่แรก เพราะประมุขสภาสูงที่ผ่านมามักมีโปรโฟล์ด้านกฎหมายแกร่งกล้า เนื่องจากต้องเป็นหัวเรือใหญ่ในการกรองกฎหมาย ทว่านายมงคลกลับมาจากสายปกครอง ไม่ใช่สายนิติศาสตร์ ทั้งยังแนะนำตัวเองว่ามาจากก้อนดิน ก้อนทราย เด็กวัด เรียนอาชีวะ สู่เก้าอี้อธิบดีกรมการปกครอง จนมานั่งบัลลังก์ประมุขสภาสูง หากขึ้นเวทีประกวดจริงคงค้านสายตาแฟนนางงาม เพราะแบบนี้ “ล็อกมง” แน่นอน
ผู้นำฝ่ายค้านรับไปลอย “เท้งเต้ง”
นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ ผู้นำฝ่ายค้าน ได้รับฉายา “เท้งเต้ง” การทำงาน-พฤติกรรมของผู้นำฝ่ายค้านป้ายแดง ถูกมองว่าไม่โดดเด่นเท่าลูกพรรคหลายคน “ดูเคว้งเท้งเต้ง” ซ้ำยังเหมือนฝ่ายค้านพรรคเดียว แม้จะมีลุงมาเสริมทัพแต่กลับไร้แนวร่วม เป็นฝ่ายค้านโดดเดี่ยวที่ไม่โดดเด่น เน้นรุกเสนอกฎหมายมากกว่าตรวจสอบ จนถูกปรามาสสภาฯ ไร้ฝ่ายค้าน ประกอบกับบทบาทหัวหน้าพรรคมือใหม่ที่ขาดเสน่ห์ ไร้บารมีผู้นำ ถูกเทียบชั้นกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล หนำซ้ำป้ายหาเสียง อบจ.ยังมีแต่ภาพนายพิธาเป็นผู้ช่วยหาเสียงมากกว่ารูป “หัวหน้าเท้ง” ซะอีก จึงเป็น “เท้งเต้ง” ลอยไปลอยมา
“บิ๊กป้อม–ธิษะณา” ครองดาวดับคู่
ตำแหน่ง “ดาวดับ” สื่อมวลชนประจำรัฐสภามีความเห็นร่วมกันมีผู้ได้รับตำแหน่ง 2 คน ได้แก่ พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ สส.บัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ และ น.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ สส.กทม. พรรคประชาชน พล.อ.ประวิตรจากพี่ใหญ่บูรพาพยัคฆ์มากบารมี หัวกะไดบ้านป่าไม่เคยแห้ง กลายเป็นหมดราศี เคราะห์ซ้ำกรรมซัดถูกร้องจริยธรรม โดดประชุม 84 ครั้ง จากนัดประชุม 95 ครั้ง มาเซ็นชื่อแล้วชิ่ง สะท้อนการขาดความรับผิดชอบในหน้าที่พื้นฐานที่ต้องเข้าร่วมประชุม ทั้งที่ สส.มีหน้าที่สำคัญในการประชุมสภาฯ เรียกได้ว่าไม่ทำงานจนดับ หนำซ้ำยังถูกขับออกจากพรรคร่วมรัฐบาล แม้พรรคจะพยายามเสนอชื่อรัฐมนตรี และทวงเก้าอี้รัฐมนตรีไปแล้ว แต่รั้งอะไรไว้ไม่ได้ แถมยังต้องจำใจขับก๊วน ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า สส.พะเยา ออกจากพรรคให้เป็นไท จากกระแสข่าวความเชื่อมโยงบ่วง “ภูนับดาว” ขณะที่ น.ส.ธิษะณาหลานปู่อดีตนายกรัฐมนตรีคนที่ 17 ของไทย แม้พรรคประชาชนจะผลักดันการทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่กลับสวนทางกับผลงาน ฟังการอภิปรายแล้วต้องอ้าปากค้าง ทั้งอ่าน ตัวเลขผิด อินกับสิทธิเสรีภาพเกินเบอร์ ถึงขนาดให้รัฐบาลรับรองสิทธิชาวเมียนมาหนีสงคราม จนถูกโซเชียลหัวคะแนนออร์แกนิกของพรรคทับถมเป็นพรรคประชาชนพม่า ถูกแซวเป็น สส.ราชเทวี หรือหงสาวดีกันแน่ แม้พรรคจะสนับสนุนมาก แต่เจ้าตัวกลับดับโอกาสนั้นเอง ส่วน “ดาวเด่น” สื่อมวลชนประจำรัฐสภาเห็นว่าไม่มีผู้ใดเหมาะสม และโดดเด่นเพียงพอที่จะได้รับตำแหน่งนี้ นับเป็นปีที่ 3 แล้ว ที่ฝ่ายนิติบัญญัติขาดดาวเด่น
วาทะปี 67 “คนไทยมีเกียรติศักดิ์ศรี”
วาทะแห่งปี 2567 ได้แก่ “...ทำให้คนไทย มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี...” โดย น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี กล่าวในการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เมื่อวันที่ 12 ก.ย.2567 เป็นคำมั่นสัญญาสำคัญที่นายกฯ ให้ไว้ต่อประชาชนผ่านสมาชิกรัฐสภา วาทะดังกล่าวเป็นที่ติดหูติดปากประชาชน ตั้งแต่เวทีการหาเสียงพรรคเพื่อไทย ถูกนำไปล้อเลียนในโซเชียลมีเดีย แต่นายกฯ ยังคงนำวาทะนี้มายืนยันต่อสภาสวนทางกับภาวะเศรษฐกิจปากท้องประชาชนในปัจจุบัน คำสัญญาที่นายกฯ ให้ไว้ต่อประชาชนผ่านเวทีหาเสียงเลือกตั้งและรัฐสภานี้ หากไม่สามารถทำได้จริง ประชาชนจะลงโทษในคูหาผ่านการเลือกตั้งครั้งถัดไป
พท.ดึง ปชป.เสียบเหตุการณ์เด่น
เหตุการณ์แห่งปี 2567 คือ พรรคเพื่อไทยเทียบเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล 28 ส.ค.2567 ถือเป็นการปิดตำนานความขัดแย้งยาวนานกว่า 2 ทศวรรษ ระหว่าง 2 พรรคการเมืองใหญ่ที่ขับเคี่ยวทางการเมืองกันมาตลอด ซ้ำยังกลืนอุดมการณ์ พรรคที่ยึดถือมาเกือบ 80 ปี เพียงเพราะขันหมากพร้อมสินสอด 2 เก้าอี้รัฐมนตรี ทำเอาบรรดาเสื้อแดง พ่อยก-แม่ยกประชาธิปัตย์ ที่บาดเจ็บล้มตายจากการไปร่วมชุมนุม กิน-นอนข้างถนนอกหัก ไม่คิดว่า 2 พรรคนี้จะมาบรรจบกันได้ หลังแกนนำรุ่นนี้ประกาศทิ้งความขัดแย้งไว้ข้างหลัง แต่ผลพวงความเสียหาย ซากปรักหักพังของประเทศที่เคยเกิดจากความขัดแย้งจาก 2 พรรคนี้ คงถูกทิ้งไว้ข้างหลังแล้วด้วยเช่นกัน
“พิเชษฐ์-ชลน่าน” ฟัดกันคู่กัดแห่งปี
คู่กัดแห่งปี ได้แก่ นายพิเชษฐ์ เชื้อเมืองพาน รองประธานสภาผู้แทนราษฎร คนที่ 1 และ นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว สส.น่าน พรรคเพื่อไทย หลังมีข่าวกินแหนงแคลงใจกัน แม้จะอยู่พรรคเดียวกัน เพราะเมื่อ นพ.ชลน่านพ้นตำแหน่ง รมว.สาธารณสุข มีกระแสข่าวพรรคเพื่อไทยเตรียมดันขึ้นตำแหน่งประธานสภาผู้แทนราษฎร แต่นายวันมูหะมัดนอร์ กลับกอดเก้าอี้ไว้แน่น จึงเล็งมาที่เก้าอี้นายพิเชษฐ์ เป็นที่น่าสังเกตทุกครั้งที่นายพิเชษฐ์ทำหน้าที่ควบคุมการประชุม นพ.ชลน่านมักขึ้นมาอภิปราย ปะทะคารมกันบ่อยครั้ง ถึงขั้นที่ นพ.ชลน่านอภิปรายชี้หน้านายพิเชษฐ์ และบอกว่าหากทำหน้าที่ไม่ได้ ก็ให้รองประธานฯอีกคนมาทำหน้าที่แทน ทำให้นายพิเชษฐ์ของขึ้นโต้กลับควันออกหูว่า “ไม่ต้องชี้หน้า อยากเป็นก็ขึ้นมา”
ทั้งนี้ สื่อมวลชนประจำรัฐสภายังขอเป็นกำลังใจให้ สส. และ สว.ที่ปฏิบัติหน้าที่เป็นอย่างดีอยู่แล้ว ให้มุ่งมั่น ตั้งใจ ปฏิบัติหน้าที่ต่อไป ส่วน สส. และ สว.ที่ยังบกพร่องในการทำหน้าที่ หวังว่าจะทบทวนปรับปรุงการทำหน้าที่ของตนเองให้ดีมากขึ้น เพื่อประโยชน์ประเทศและประชาชนต่อไป
“ณัฐพงษ์” ไม่น้อยใจฉายาที่สื่อตั้ง
เมื่อเวลา 13.30 น. ที่รัฐสภา นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) และผู้นำฝ่ายค้าน ให้สัมภาษณ์ถึงฉายาที่สื่อมวลชนประจำรัฐสภาตั้งให้ “เท้งเต้ง” ว่า อยากยืนยันว่าพรรค ปชน.ไม่เคยคิดว่าถูกให้โดดเดี่ยว พร้อมทำงานร่วมกับทุกพรรค ไม่ทิ้งเรื่องการตรวจสอบ ต้นปี 2568 จะยื่นญัตติอภิปรายไม่ไว้วางใจตรวจสอบรัฐบาลอย่างเข้มข้น ยินดีรับฉายาไว้ ส่วนที่มีการเปรียบเทียบกับนายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล ไม่เป็นห่วงความนิยมมีขึ้นมีลงเป็นธรรมดา ไม่น้อยใจ ส่วนฉายาสภาฯ “เหลี่ยม (จน) ชิน” สะท้อนบริบทสภาฯได้ดี ประชาชนกำลังมองเข้ามาเรามักมองการเมืองไทยเป็นการเมืองที่สกปรก มีเล่ห์เหลี่ยมเยอะ แต่พรรค ปชน.ทำงานอย่างตรงไปตรงมา ทั้งนี้ ช่วงท้ายนายณัฐพงษ์ระบุว่าชอบทุกฉายา แต่ชอบของตัวเองมากที่สุด
“แก้วตา” น้อมรับนำไปปรับปรุงตัว
ขณะที่ น.ส.ธิษะณา ชุณหะวัณ หรือ “แก้วตา” สส. กทม. พรรคประชาชน โพสต์ภาพการทำงานของตัวเองพร้อมข้อความลงเฟซบุ๊ก ระบุว่า “พยายามทำงานเต็มที่ในฐานะผู้แทนราษฎร เขตสาทร ราชเทวี และปทุมวัน กทม. ทั้งในระดับพื้นที่ และในระดับประเทศ อย่างไรก็ตาม ต้องขอขอบคุณทั้งพี่น้องประชาชนและสื่อมวลชนที่ได้สะท้อนความเห็น ข้อวิพากษ์วิจารณ์ และข้อเสนอแนะต่อการทำงานและพฤติกรรมของดิฉันที่ผ่านมา ขอน้อมรับทุกความเห็น เพื่อนำไปใช้ในการปรับปรุงศักยภาพในการทำงาน และการครองตนอย่างเหมาะสมให้ดียิ่งขึ้น ในฐานะผู้แทนราษฎร ในปี 2568 ที่จะมาถึงนี้”
“บัญญัติ” ยกกระจกสะท้อนดูตัวเอง
นายบัญญัติ บรรทัดฐาน สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่าฉายาสภาฯ “เหลี่ยม (จน) ชิน” ตรงกับที่เคยวิเคราะห์ว่ารัฐบาลนี้อยู่ด้วยการช่วงชิงกันมาตั้งแต่ต้น เป็นเรื่องธรรมดาคนเป็นนักการเมืองต้องยอมรับว่าสื่อคือกระจกส่องตัวเราเอง ให้เรารู้ว่าคนอื่นมองเราอย่างไร “ผมมักพูดให้คนรุ่นหลังในพรรคฟังอยู่เสมอ ว่าคนเป็นนักการเมืองนั้นความคิดเราสำคัญ แต่ความคิดที่สำคัญกว่าความคิดเราคือความคิดของชาวบ้าน ว่าเขามองเราอย่างไร” ส่วนเหตุการณ์แห่งปีที่พรรคเพื่อไทยเทียบเชิญพรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาล เป็นเรื่องธรรมดา พรรคประชาธิปัตย์เข้าร่วมรัฐบาลใช่ว่าจะเห็นด้วยทั้งหมด แต่หลักของเราคือเมื่อเสียงข้างมากคิดว่าจะไปร่วมรัฐบาล เพื่อสร้างผลงาน ถ้าถือว่าการตั้งพรรคการเมืองเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจรัฐ และได้ใช้อำนาจรัฐไปแก้ปัญหาประชาชน เขาก็อยากลองดูตรงนั้น ก็ว่ากันไป เมื่อถามว่าเหตุการณ์แห่งปีก็ไปพ้องกับฉายาของสื่อทำเนียบที่ให้ว่า “ประชาธิเป๋” นายบัญญัติตอบว่า ไม่มีปัญหาอะไร เป็นการพูดเล่นกันไม่ใช่หรือว่าในยามที่สุขภาพยังไม่ดีก็เป๋กันอยู่บ้าง แต่สักพักก็คงแข็งแรงขึ้น คงยืนตรงมากขึ้น เราเป็นพรรคการเมืองที่วิจารณ์กันเองเหมือนกัน
“รุ่งเรือง” ชี้ ศก.โตได้ขึ้นกับฝีมือ รบ.
อีกเรื่อง นายรุ่งเรือง พิทยศิริ อดีตที่ปรึกษา รมว.คลัง กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ แสดงความกังวลว่าธนาคารพาณิชย์ไม่ยอมปล่อยเม็ดเงินเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ มัวแต่ลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล ทำให้เศรษฐกิจไม่เติบโตตามศักยภาพว่า ความจริงไม่ได้เป็นแบบนั้น ค่อนข้างตรงกันข้ามด้วยซ้ำ ธนาคารพาณิชย์ถือพันธบัตรรัฐบาลมานานแล้ว เพราะ ธปท.อนุญาตให้พันธบัตรเหล่านี้เป็นเงินกองทุนของธนาคาร เมื่อทิศทางดอกเบี้ยเป็นขาลงจะถือต่อกันไปนานๆ แต่ถ้าดอกเบี้ยเป็นขาขึ้นก็ขายพันธบัตรออกไป เป็นกระบวนการทำให้เกิดตลาดตราสารหนี้ขึ้น ทำให้มีเม็ดเงินเข้ามาในระบบเศรษฐกิจ รัฐบาลต่างหากเมื่อได้เม็ดเงินตรงนี้แล้วไม่ทำโครงการให้เศรษฐกิจเติบโตได้ดีอย่างที่ต้องการ รัฐบาลต้องเอาเม็ดเงินที่ได้ไปบริหารทำโครงการให้เกิดการเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ที่ผ่านมาไม่มีโครงการอะไรออกมา โครงการกระเป๋าเงินก็ออกมาล่าช้า เข้าไปที่กลุ่มเปราะบาง ซึ่งมีการใช้จ่ายเพื่อประทังชีวิตเป็นหลัก เงินก็หมุนน้อย การจะทำให้เศรษฐกิจเติบโตได้ 4-5% ขึ้นอยู่กับฝีมือรัฐบาล
ย้ำสร้างสรรค์ระบบนิเวศภาพใหญ่
นายรุ่งเรืองกล่าวอีกว่า ถ้าประเทศเติบโตได้ต่ำกว่าศักยภาพแล้วยังไปขึ้นค่าแรงอีก สินค้าส่งออกถือว่ามีความอ่อนไหวกับราคาและต้นทุนผู้ประกอบการ ทำธุรกิจด้านนี้ไปขอกู้เงินกับธนาคารพาณิชย์ ไม่ว่าแห่งไหน คะแนนภาพรวมของความเสี่ยงทางธุรกิจจะติดลบ ไม่ใช่ธนาคารไปตั้งธงใดๆ ดังนั้นเป็นเรื่องระบบนิเวศภาพใหญ่ที่รัฐบาลต้องทำให้เกิดกระบวนการเชื่อมั่น ว่าให้เงินไปแล้ว ระบบนิเวศเอื้ออำนวยให้ธุรกิจไปต่อได้ ไม่ใช่เจ๊ง
อย่าเกรงใจแบงก์ปราบแก๊งคอล
เวลา 12.30 น. ที่รัฐสภามีการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีนายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธานการประชุมเพื่อพิจารณากระทู้ถามทั่วไป ที่นายธีรัจชัย พันธุมาศ สส.กทม. พรรคประชาชน ถามถึงการปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยีว่า การกำกับธุรกรรมทางออนไลน์ที่เข้าข่ายหลอกลวงประชาชน ธนาคารควรมีส่วนร่วมรับผิดชอบ รัฐบาลอย่าเกรงใจนายทุนธนาคาร นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รมว.ดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) ชี้แจงว่า การออก พ.ร.ก.แก้ปัญหาแก๊งคอลเซ็นเตอร์ได้ดำเนินการแล้ว อยู่ระหว่างขอความเห็นจากคณะกรรมการกฤษฎีกา ก่อนขอความเห็นชอบจาก ครม. ประกาศลงราชกิจจานุเบกษา รายละเอียดใน พ.ร.ก.จะกำหนดการอายัดและคืนเงินให้ได้รวดเร็ว ไม่เกิน 6 เดือนได้คืน จากเดิมใช้เวลา 1-2 ปีอย่างน้อย ส่วนมาตรการเกี่ยวกับธนาคาร กำหนดให้มีส่วนร่วมรับผิดชอบเหมือนเครือข่ายมือถือ ยืนยันไม่มีความเกรงใจธนาคาร เราเกรงใจประชาชน ไม่ต้องห่วงจะเอาใจธนาคาร หลังปีใหม่จะเห็นระบบคลีนซิ่ง หากพบข้อความไม่เหมาะสมหลอกลวงประชาชน ต้องถูกยกเลิก หากโอเปอเรเตอร์ไม่ทำตามต้องรับผิดชอบกรณีที่ผู้เสียหายกดลิงก์ดูดเงิน ส่วนที่นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ชี้เป้าสถานที่ตั้งแก๊งคอลเซ็นเตอร์ในเมืองปอยเปต ประเทศกัมพูชานั้น นายทักษิณห่วงคนไทย กระทรวงไม่นิ่งนอนใจ ที่ผ่านมาประสานไปยังมาเลเซีย เมียนมา จีน ลาว กัมพูชา แลกเปลี่ยนข้อมูลปราบปรามแก๊งคอลเซ็นเตอร์ จะดำเนินการถึงที่สุด
2 ปีครึ่งแก๊งคอลหลอกต้ม 7 แสนคดี
ต่อมานายฐากร ตัณฑสิทธิ์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคไทยสร้างไทย ถามกระทู้สดกรณีรัฐบาลเตรียมออก พ.ร.ก.ป้องกันและปราบปรามอาชญากรรมทางเทคโนโลยี กำหนดให้ค่ายมือถือและธนาคารร่วมชดใช้เงินแก่ประชาชนที่ถูกแก๊งคอลเซ็นเตอร์หลอกให้โอนเงินว่า ข้อมูลตั้งแต่วันที่ 1 มี.ค.2565 ถึงวันที่ 30 พ.ย.2567 มีการแจ้งความดำเนินคดีผ่านออนไลน์กว่า 3 แสนคดี ผ่านสถานีตำรวจกว่า 1 แสนคดี และผ่านศูนย์ปฏิบัติการแก้ปัญหาอาชญากรรมออนไลน์ (เอโอซี) หรือสายด่วน 1441 กระทรวงดีอีกว่า 2 แสนคดี รวมกว่า 7 แสนคดี มูลค่าความเสียหายรวม 7.7 หมื่นล้านบาท แต่รัฐบาลอายัดเงินป้องกันความเสียหายได้ 8.6 พันล้านบาท เฉลี่ยความเสียหาย 77 ล้านบาทต่อวัน ล่าสุดตำรวจเพิ่งจับ 6 คนจีนแก๊งคอลเซ็นเตอร์ มีซิมการ์ด 2 แสนซิม ทั้งที่ กสทช.กำหนดให้ทุกคนถือซิมไม่เกิน 5 ซิม จะแก้เรื่องนี้อย่างไร อยากทราบว่าร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้ จะมีผลบังคับใช้เมื่อใด จะมีคนของ กสทช. และธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ร่วมเป็นเจ้าพนักงานตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์หรือไม่ รวมถึงการให้ค่ายมือถือ ธนาคารร่วมรับผิดชอบ จะต้องลงทุนในระบบต่างๆ 400-500 ล้านบาท เป็นไปได้หรือไม่ที่จะให้หักจากเงินที่ต้องนำส่ง กสทช.หรือ “เงินยูโซ่” ให้นำส่งน้อยลง จะทำให้การทำงานสำเร็จ และกรณีสถาบันการเงินจะให้ธนาคารหักลดเงินที่ต้องนำส่ง ธปท. เพื่อสร้างระบบป้องกันต้นเหตุต่างๆให้ดีกว่าเดิม
ประสานเพื่อนบ้านจัดการเอาผิด
ด้านนายวันมูหะมัดนอร์กล่าวเสริมว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากทูต 2 ประเทศว่า มีคนในประเทศเขาถูกจับ บังคับให้เป็นแก๊งคอลเซ็นตอร์ที่ประเทศเพื่อนบ้าน โดยถูกหลอกมาเมืองไทยว่าจะมาท่องเที่ยวและมีงานทำ แต่กลับถูกจับส่งไปประเทศเพื่อนบ้าน ประเทศหนึ่งถูกจับ 13 คน อีกประเทศ 30 คน ทำให้เสียบรรยากาศการท่องเที่ยว อยากให้รัฐบาลแก้ไขด่วน
เสื้อแดงจี้ดีเอสไอรื้อคดี 99 ศพ
ที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี พร้อมนายธงชัย พรเศรษฐ์ รองนายกสมาคมทนายความแห่งประเทศไทย และญาติผู้สูญเสียจากการเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองปี 2553 เข้ายื่นหนังสือต่อ พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ ขอให้ไต่สวนหาผู้กระทำความผิดและคืนความยุติธรรมให้ประชาชน มี ร.ต.อ.วิษณุ ฉิมตระกูล รองอธิบดีดีเอสไอ เป็นตัวแทนรับเรื่อง นายณัฐวุฒิกล่าวว่า มาในฐานะประชาชนที่ร่วมชะตากรรม ขอให้ดีเอสไอดำเนินการตามกฎหมาย ไม่ได้มากดดันให้กระทำนอกเหนือกฎหมาย การเสียชีวิตของประชาชนและเจ้าหน้าที่รวม 99 ราย มีการไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มีการไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตในชั้นศาลไปแล้ว 31 ราย มี 17 ราย ศาลชี้ว่าประชาชนเสียชีวิตจากอาวุธของเจ้าหน้าที่ ส่วนอีก 14 ราย ศาลระบุว่าไม่สามารถชี้ชัดว่าเสียชีวิตจากบุคคลกลุ่มใดหรือใครกระทำ มีคงค้างอีก 68 ราย ที่ยังไม่มีการไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตโดยศาล และเนื่องด้วยการไต่สวนการเสียชีวิตถูกยุติลงตั้งแต่วันที่ 22 พ.ค.2557 ตรงกับวันรัฐประหาร ทั้งที่ก่อนหน้านี้มีการไต่สวนสาเหตุการเสียชีวิตโดยศาลมาต่อเนื่อง จนเวลาล่วงเข้ามาที่รัฐบาลชุดปัจจุบัน ตนและญาติครอบครัวของผู้สูญเสียพยายามติดตามประสานงานกับส่วนราชการอื่นที่เกี่ยวข้อง พบว่ามีดีเอสไอ และ บช.น. จนทราบว่าสำนวนคดีทั้งหมดมารวมอยู่ที่ดีเอสไอแล้ว หากเรายืนยันความประสงค์จะให้เดินหน้าตามกฎหมายต่อไป จึงต้องมาตั้งต้นที่ดีเอสไอให้ทำตามขั้นตอนกฎหมาย
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่