ความสัมพันธ์ทางการเมืองระดับชาติและระดับท้องถิ่นนั้นแยกกันไม่ออกอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าจะเป็นไปอย่างเปิดเผยหรือซ่อนเร้นอำพรางเท่านั้น

กรณีที่ปราจีนบุรีเมื่อมีเหตุยิงกันในบ้านพักของ “สุนทร วิลาวัลย์” ผู้ทรงอิทธิพลแห่งเมืองนั้นได้ฉายภาพให้เห็นอย่างทะลุปรุโปร่ง

ถึงความเชื่อมโยงระหว่างท้องถิ่น-ระดับชาติ-อิทธิพล

ล่าสุด “ณภาภัช อัญชสาณิชมน” (สจ.จอย) ภรรยา “ชัยเมศร์ สิทธิสนิทพงศ์” (สจ.โต้ง) ที่ถูกยิงเสียชีวิต ประกาศจะลงสมัครนายก อบจ.ปราจีนบุรี ในนามพรรคเพื่อไทยอย่างแน่นอน

ทำให้ที่เมืองนี้จะมีผู้สมัคร 3 คน คือ ภรรยา สจ.โต้ง ทายาทการเมืองของโกทร และผู้สมัครจากพรรคประชาชนอีกคนหนึ่ง

การตัดสินใจลงสมัครของภรรยา สจ.โต้งครั้งนี้ ก็เพราะต้องการสานเจตนารมณ์ของผู้เป็นสามี หลังจากที่ตอนแรกยังหวั่นเกรงอิทธิพลและไม่มั่นใจว่าจะสู้ได้หรือไม่

แต่คนที่ทำให้เกิดความมั่นใจ คือ “ร.อ.ธรรมนัส พรหมเผ่า” ที่สนิทสนมกับ สจ.โต้ง และนักการเมืองชื่อดังอีก 2 คน คือ “ชาดา ไทยเศรษฐ์”-“สุชาติ ชมกลิ่น” ที่แนบแน่นและไปร่วมงานศพด้วย

ที่สำคัญก็คือการลงสมัครในฐานะตัวแทนของ “เพื่อไทย” ที่ “ทักษิณ ชินวัตร” เป็นแบ็กอัปสำคัญทำให้มีความมั่นใจ

อีกทั้งยังเชื่อว่า จะปกป้องคุ้มครองด้วย!

ทางด้านคดีความล่าสุด พล.ต.อ.กิตติ์รัฐ พันธุ์เพ็ชร์ “ผบ.ตร.ได้ลงนามคำสั่งโอนคดีจากท้องที่ให้กองปราบฯดำเนินการต่อ

เนื่องจากฝ่ายผู้เสียหายเกรงว่าจะไม่ได้รับความเป็นธรรม เนื่องจากผู้มีอิทธิพลเกี่ยวข้องด้วย”

แต่ที่น่าสนใจปรากฏว่า “สันธนะ ประยูรรัตน์” อดีตนายตำรวจกองปราบฯ ได้เข้ามาร่วมแจมด้วยการออกแสดงตัวช่วยเหลือ  (โกทร) อย่างเต็มตัว

...

พูดง่ายๆว่า แต่ละฝ่ายต่างก็มีพรรคพวกระดับคนดังเข้ามาช่วยเหลือ

ประเด็นที่อยากพูดถึงก็คือ การปราบปรามผู้มีอิทธิพลหลังจาก “ทักษิณ” ได้เปิดประเด็นว่า รัฐควรจะปราบปรามกันเสียที เพราะปล่อยเอาไว้นานแล้ว

ปรากฏรัฐบาล โดย “แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรีก็ขานรับทันทีว่าจะคุมงานนี้เอง โดยให้ตำรวจจัดการได้อย่างเต็มที่

เพียงแต่ยังไม่ได้เปิดเผยว่าจะทำในรูปแบบใด...

แต่ดูท่าแล้วน่าจะถอดแบบสมัยที่ “พ่อ” เป็นนายกรัฐมนตรีมาก่อน

ก็คงจะใช้โมเดล “ปราจีนบุรี” เป็นแม่แบบเริ่มต้นและไล่ไปแต่ละจังหวัด ซึ่งตำรวจมีบัญชีอยู่แล้ว รวมถึงรายชื่อผู้มีอิทธิพลในระดับต่างๆ ทั้งที่เป็นนักการเมือง ผู้รับเหมา เป็นต้น

แน่นอนว่าที่จะต้องทำหน้าที่อย่างเต็มตัวก็คือตำรวจและฝ่ายปกครอง โดยมีนักการเมืองควบคุมอีกชั้นหนึ่ง

จึงอยู่ที่ “ตำรวจ” จะต้องทำหน้าที่ให้เหมาะสมและเป็นตัวของตัวเอง ไม่ใช่รับใบสั่งจากนักการเมือง ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหา

เพราะสามารถให้คุณให้โทษแก่กันได้

มีผลประโยชน์ทางการเมืองเป็นเดิมพัน!

จำนวนผู้มีอิทธิพลทั่วประเทศนั้น นักการเมืองทั้งระดับชาติและระดับท้องถิ่น ที่แอบอิงผลประโยชน์จำนวนไม่น้อยรวมถึงเครือข่ายต่างๆด้วย

ยิ่งการเมืองวันนี้ได้ลงลึกจากระดับชาติลงสู่ระดับท้องถิ่นแล้ว อิทธิพลจึงพัวพันเต็มไปหมด ปัญหาคืออาจจะเกิดการกลั่นแกล้งและทำลายกันได้

แม้แต่พรรคประชาชนที่ขาย “อุดมการณ์” เพื่อเอาชนะแบบไม่ซื้อเสียงก็อาจจะตกเป็นเหยื่อการเมืองแบบเก่าได้

แบบที่เรียกว่า “ฆ่าตัดตอน” ที่รัฐบาลสมัยหนึ่งทำและเชื่อว่านั่นคือความสำเร็จ แต่คนบริสุทธิ์ต้องสังเวยชีวิตเป็นจำนวนมาก

นี่คือสิ่งที่ “ตำรวจ” ต้องพึงระวังเอาไว้ให้ดี!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม