มติเอกฉันท์ศาลรัฐธรรมนูญตีตกคำร้อง กรณีกล่าวหา รมว.ยุติธรรม–ราชทัณฑ์เอื้อประโยชน์นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ จนได้ไปรักษาตัวที่ห้องพิเศษ ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ
สรุปคำวินิจฉัยไม่มีข้อเท็จจริงเพียงพอ หลักฐานยังไกลเกินกว่าเหตุ
แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีคดีเดียวกันอยู่ในคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ล่าสุดคืบหน้าไปถึงการแต่งตั้งองค์คณะไต่สวนแล้ว จ่อเรียกสอบเจ้าหน้าที่ถึง 12 คน และอาจรวมไปถึงตัวนายทักษิณ
เรื่องเดียวกัน แต่คนละข้อหา เป็นในส่วนของการปฏิบัติหน้าที่มิชอบของเจ้าหน้าที่ เกี่ยวพันไปถึงคดีอาญา
จึงยังไม่สามารถประมาท หรือไว้วางใจอะไรได้มากนัก
สำรวจจากร่องรอย ประวัติการชี้มูลตัดสินคดี นินทากันว่ามักจะเกี่ยวพันโยงใยกับสถานการณ์การเมืองที่เป็นอยู่และเป็นไป
แม้ที่ผ่านมาภูมิคุ้มกันทางการเมืองของ “นายใหญ่บ้านจันทร์” และพลพรรคเพื่อไทย จะดูแข็งแรงมากขึ้น แต่ก็ไม่ถึงขั้นปลอดภัย ปลอดโปร่ง 100% รอดบ้าง โดนบ้าง คางไม่เปราะ แต่ก็ยังเหลืองๆ
เมื่อสแกนโครงสร้างองค์กรอิสระอย่าง ป.ป.ช. แล้วยังต้องบอกว่าเป็นของแสลงของพรรคเพื่อไทยและจะเป็นต่อไปเหมือนเดิม เพียงแต่จะหนักหรือเบาเท่านั้น
จากคอนเนกชัน “บ้านป่า” กำลังคืบคลานเปลี่ยนผ่านไปสู่ “เซราะกราว”คอนเนกชัน
กรรมการ ป.ป.ช.หลายคนที่ผ่านการสรรหาเข้ามาในยุค คสช.และรัฐบาลชุดที่แล้ว เกษียณอายุหมดวาระกันไปหลายคน โดยเฉพาะหัวขบวนอย่าง “บิ๊กกุ้ย” พล.ต.อ.วัชรพล ประสารราชกิจ อดีตประธาน ป.ป.ช. ที่เป็นอดีตนายตำรวจคนสนิทของ “บิ๊กป๊อด” พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีต ผบ.ตร.น้องชายของ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ
...
ตอนนี้เหลืออยู่แค่ วิทยา อาคมพิทักษ์ สุวณา สุวรรณจูฑะ และสุชาติ ตระกูลเกษมสุข โดย “วิทยา-สุวณา” กำลังจะหมดวาระลงในเร็ววันนี้ คนที่เข้าใหม่ก่อนหน้านี้คือ เอกวิทย์ วัชชวัลคุ กับ ภัทรศักดิ์ วรรณแสง มาจากสายศาล ขณะที่ แมนรัตน์ รัตนสุคนธ์ มาจากสายมหาดไทย
สถานการณ์ ป.ป.ช.กำลังผลัดใบจากบ้านป่าเกือบหมด
แน่นอนว่าเครือข่ายที่จะเข้ามาแทนที่หนีไม่พ้น “ค่ายน้ำเงิน” ตามกลไก สว.ที่เป็นผู้อนุมัติเห็นชอบรายชื่อกรรมการที่เสนอเข้ามา
เมื่อเข้าไปส่องสแกนผู้สมัครเป็นกรรมการ ป.ป.ช.ใหม่อยู่ระหว่างการสรรหา ส่วนใหญ่ล้วนเชื่อมโยงกับคนในขุมข่ายสีน้ำเงิน บ้านใหญ่บุรีรัมย์
แม้ในขั้นตอนการสรรหาจะเป็นหน้าที่ของประธานองค์กรต่างๆ ทำหน้าที่คัดเลือก การเมืองแทรกแซงยาก แต่สุดท้ายปลายทางคนที่จะกดปุ่มให้ผ่านหรือไม่คือ สว.
ฉะนั้นไม่ว่าจะสรรหาใครมาอย่างไร ถ้า สว.ไม่ให้ผ่านก็เท่ากับเจอทางตัน
หากเป็นเครือข่ายสีน้ำเงิน ผ่านมาถึงการพิจารณาของ สว.โอกาสผ่านฉลุย
เมื่อส่องดูสถานการณ์การเมืองจากภาวะมึนตึงขัดแย้งภายในรัฐบาลระหว่างพรรคเพื่อไทยกับพรรคภูมิใจไทย ปรากฏร่องรอยปริร้าวขบเหลี่ยมกันหนักข้อขึ้นเรื่อยๆ ก็น่าเป็นห่วงว่านิติสงครามจะถล่มพรรคเพื่อไทยไม่หยุดยั้ง
เพราะต้องสู้กันแทบทุกการเผชิญหน้า ไม่ว่าเลือกตั้งใหญ่ หรือเลือกตั้ง อบจ.ที่เห็นอยู่ตรงหน้า
ลุกลามรุนแรงถึงขั้นมีการฆ่าแกงกันแล้ว แต่ไม่มีสัญญาณถอยให้กัน มีแต่การ “รุกคืบ”
“นายใหญ่บ้านจันทร์” และพลพรรคเพื่อไทย ถูกบีบเส้นทางการเมืองให้ต้องเดินสู่เกมจัดตั้ง ตีเมืองขึ้นบ้านใหญ่ผู้ทรงอิทธิพล ที่ถือเป็นเส้นทางหลักของภูมิใจไทยที่เดินอยู่คับซอย
ปฏิกิริยา “ทักษิณ” ที่ออกมาแซะ เหน็บแนมถี่ๆ ถึงพรรคร่วมรัฐบาล เอาหล่อเร็วไปหรือพวกอีแอบ บ่งบอกสิ่งที่อยู่ในใจ และเป็นคำตอบว่าตอนนี้ใครคือศัตรูหมายเลข 1 ตามเชิงยุทธศาสตร์
ปฏิบัติการคำรามขู่ เบิ้ลบลัฟ รวมทั้งส่งคนชิงนายก อบจ.ปราจีนบุรี ไม่สนบารมีบ้านใหญ่ “วิลาวัลย์” แถมยังพลิกเกมไล่บี้เป็นผู้มีอิทธิพล
มันจึงไม่ใช่แค่สัญญาณตอบโต้ตั้งรับ แต่เป็นการรุกคืบไล่บี้กวาดต้อนบ้านใหญ่
ตามโมเดลเดิมที่เคยเห็นสมัยพรรคไทยรักไทย
การเมืองติดดาบเปิดฉากเล่นกันแรงๆ ตั้งแต่สนาม อบจ.นี้เลย.
ทีมข่าวการเมือง
คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม