“สรวงศ์” นำเพื่อไทยตั้งโต๊ะแถลงโต้ปม MOU 2544 ยันไม่ทำให้ไทยเสียดินแดนแม้แต่ตารางมิลลิเมตร ยก 4 เหตุถ้ายกเลิกจะเสียเปรียบ อ้าง 5 ขั้นตอนโปร่งใส
วันที่ 12 ธ.ค. 2567 ที่รัฐสภา นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรคเพื่อไทย พร้อมนายวิสุทธ์ ไชยณรุณ ประธาน ส.ส. พรรคเพื่อไทย นายนพดล ปัทมะ และนายประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ส.ส. บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยแถลงหลังประชุมพรรคเสร็จสิ้น โดยนายนพดลกล่าวว่า ในที่ประชุม ส.ส. มีการพูดคุยถึงการสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลอย่างเต็มที่เกี่ยวกับ MOU 2544 ทุกรัฐบาลที่ผ่านมาใช้เป็นกรอบในการเจรจาเกี่ยวกับพื้นที่ทับซ้อนทางทะเล หรือ OCA และในรัฐบาลพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา หรือรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ใช้ดำเนินการเจรจา เนื้อหาไม่ได้มีผลกระทบต่อเรื่องสิทธิด้านเขตแดน แต่จากกรณีที่มีการยื่นหนังสือต่อรัฐบาล เชื่อว่ารัฐบาลจะตอบข้อข้องใจของผู้ยื่นหนังสือได้ทุกประเด็นในเวลาที่เหมาะสม เรื่องนี้ไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องของกลุ่มพันธมิตรใหม่หรือกรณีของนายสนธิ ลิ้มทองกุลว่าเป็นศัตรูทางการเมือง เพราะถือว่าเป็นคนไทยที่มีข้อห่วงใยที่จะต้องรับฟัง แต่สิ่งหนึ่งที่ยอมรับไม่ได้คือการใช้ความเท็จในการขับเคลื่อนกระบวนการที่จะกระทบสถานภาพของรัฐบาล
นายนพดลกล่าวต่อว่า ส่วนประเด็นที่มีการกล่าวหาว่า MOU 2544 เป็นการยอมรับเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชานั้น ตนยืนยันว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริงแต่เป็นความเข้าใจผิดและวิเคราะห์เองโดยสิ้นเชิง เพราะคนพวกนี้เคยวิเคราะห์ว่าตนจะทำให้เสียดินแดน แต่สุดท้ายศาลก็พิพากษาว่าไม่ใช่ข้อเท็จจริง และจะต้องฟังกรมสนธิสัญญาและกฎหมายระหว่างประเทศซึ่งถือเป็นที่ปรึกษากฎหมายของรัฐบาล โดยเฉพาะกรมสนธิสัญญาและกฎหมาย ยืนยันว่า MOU 2544 ไม่ได้ทำให้เสียดินแดน หรือยืนยันเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา จะต้องพึงรับฟัง ยืนยันรัฐบาลนี้จะไม่ยอมเสียดินแดนแม้แต่ตารางมิลลิเมตรเดียว ขอให้สบายใจว่า การเจรจาไทยจะไม่ยอมรับเส้นไหล่ทวีปของกัมพูชา หากการเจรจาล้มเหลวไปไม่ได้ก็ไม่กระทบสิทธิของไทยและกัมพูชา และถ้ายืนยันตามที่ประกาศเขตไหล่ทวีปในปี 2516 คือท่าทีของประเทศไทยไม่เปลี่ยนแปลง ฉะนั้นไม่มี MOU ขายชาติใดๆ และขอปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่ารัฐบาลจ้องเกี๊ยเซียะกับกัมพูชานำน้ำมันและแก๊สธรรมชาติมาแบ่งปันกัน โดยไม่สนใจเรื่องเขตแดน เป็นข้อกล่าวหาที่ไม่มีมูลความจริง ตาม MOU 2544 ในข้อสองที่ระบุไว้ว่า เรื่องเขตแดนกับเรื่องการพัฒนาร่วมกันจะต้องผูกกันเป็นเรื่องควบคู่ขนานกันไป ไม่สามารถเจรจาเรื่องผลประโยชน์และเรื่องเขตแดนไว้ทีหลังนั้นไม่สามารถที่จะทำได้
...
“ส่วนถ้ายกเลิก MOU 2544 ผลจะตามมาคือ 1. การอ้างสิทธิ์ในเขตไหล่ทวีปของกัมพูชาเมื่อปี 2515 และของไทยเมื่อปี 2516 จะยังคงอยู่ทุกประการ 2. พื้นที่ทับซ้อน 26,000 ตารางกิโลเมตรจะยังคงอยู่ทุกประการ 3. เราจะพลาดข้อได้เปรียบที่จะผูกพันให้กัมพูชามาเจรจาตามกฎหมายระหว่างประเทศ และย้อนแย้งกับสิ่งที่ได้มีการอ้างว่าลากเส้นไม่ถูกต้อง 4. กัมพูชาและไทยยังมีพันธะกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศ ค.ศ. 1982 ต้องเจรจาโดยสุจริตและต้องหาข้อยุติที่เป็นธรรม แม้ไม่มี MOU 2544 ก็ยังต้องเจรจากันต่อไป เมื่อมีสะพานที่ต้องข้ามอยู่แล้วคุณจะไปพังสะพานแล้วบอกไปสร้างสะพานใหม่เพื่ออะไรไม่สมเหตุสมผล ทั้งนี้ ในฐานะ ส.ส. พรรคเพื่อไทยมั่นใจว่า นายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรีจะดูแลผลประโยชน์ของชาติเป็นอย่างดี และการเจรจาที่โปร่งใสไม่ให้เกิดการเสียพื้นที่ และท้ายที่สุดไม่มีการงุบงิบ เพราะกระบวนการจะต้องผ่าน 5 ขั้นกลั่นกรอง ที่ประชาชนจะมองเห็นทุกขั้นตอน คือ 1. เจรจาของคณะทำงานทางเขตแดนและพัฒนาร่วม 2. คณะอนุ JTC 3. คณะกรรมการเทคนิคร่วมชุดใหญ่ 4. คณะรัฐมนตรี และ 5. ต้องผ่านความเห็นชอบจากรัฐสภา รัฐบาลไหนทำให้เสียดินแดนไม่มีทางอยู่เป็นรัฐบาลได้ และประชาชนจะไม่ให้อภัย อาจต้องติดคุกด้วย ทั้งนี้รัฐบาลพรรคเพื่อไทยมีเกียรติประวัติในการปกป้องดินแดนจะรักษาดินแดนของเราอย่างดีที่สุด ในการเจรจายืนยันจะรักษาได้ทั้งดินแดนและความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้าน”