การเมืองไทย กับ การเมืองอเมริกา กับ การเมืองเกาหลีใต้ กับ การเมืองฝรั่งเศส หรือการเมืองที่ไหนในโลกนี้ ไม่ว่าจะปกครองประเทศด้วยระบอบการปกครองใดก็ตามมีความเหมือนกันคือ ความเห็นแก่ตัว น้อยหรือมาก ผิดหรือถูก ผ่านคำแก้ตัวหรือคำขอโทษ ล้วนแต่เป็นมาตรฐานเดียวกัน เป็นธรรมชาติของมนุษย์ ดังนั้น ไม่ว่า กรมราชทัณฑ์ กระทรวงยุติธรรม จะถูกเฝ้าระวังต่อการกลับบ้านของอดีต นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อย่างไรก็ตาม ในเดือน เม.ย.ปีหน้า จะเห็นเหตุและผลของ การกลับบ้าน ที่เป็นไปตามกติกาของกรมราชทัณฑ์ เพราะคนเขียนกติกาก็คือมนุษย์ ข้ออ้างความล้มเหลวในกระบวนการยุติธรรม เป็นเหตุผลที่ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ใช้เป็นข้ออ้างในการ นิรโทษกรรมให้ลูกชายตัวเองพ้นจากการรับโทษคดีอาญา เป็นการพิสูจน์ธรรมชาติความเป็นมนุษย์บนโลกนี้
การถอดถอน ยุน ซอกยอล ออกจากตำแหน่งประธานาธิบดีเกาหลีใต้ หลังจากประกาศกฎอัยการศึกไม่สำเร็จ เพราะ ฝ่ายค้านภายใต้การนำของ ลี แจมยอง มีเสียงในสภาแค่ 192 เสียง ตามรัฐธรรมนูญเกาหลีใต้ จะถอดถอนประธานาธิบดีสำเร็จต้องใช้เสียงเกินกว่า 200 เสียงจากทั้งหมด 300 เสียง ดังนั้น สส.ฝ่ายรัฐบาลที่มีจำนวนมากกว่า ใช้วิธี ไม่เข้าห้องประชุม เป็นอันว่า ประธานาธิบดีเกาหลีใต้ก็ยังครองตำแหน่งต่อไป แค่ออกมาขอโทษประชาชนและรับปากว่าจะไม่ประกาศกฎอัยการศึกอีกแล้ว แสดงให้เห็นธรรมชาติของการเป็นรัฐบาลเสียงข้างมากและความเห็นแก่ตัวของมนุษย์มาก่อนส่วนรวมหรือประชาชน
การโยนหินถามทาง การขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มจาก ร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 15 ตามเงื่อนไขด้านการเงินการคลังของประเทศ รัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร ไม่ได้ทำผิดอะไร ความจริงประเทศไทยถึงเวลาต้องขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มมาหลายปีแล้ว จากร้อยละ 7 เป็นร้อยละ 10 ร้อยละ 10 เป็นร้อยละ 15 แต่ไม่มีรัฐบาลชุดไหนพิจารณาขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่ม เพราะสภาพแวดล้อมทางเศรษฐกิจ ไม่อำนวย หลายประเทศพยายามที่จะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มตามสเต็ป เพื่อไม่ให้มีผลกระทบกับการครองชีพของประชาชน เพราะการขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มก็เท่ากับเป็นการขึ้นราคาสินค้าโดยอัตโนมัติที่บวกไว้ในราคาสินค้าและบริการ โดยเฉพาะในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำต่อเนื่อง กำลังซื้อหดหาย สินค้าแพง ค่าแรงถูก ไม่ว่ารัฐบาลอยากจะขึ้นภาษีมูลค่าเพิ่มใจจะขาด ก็ทำไม่ได้เพราะกลัวชาวบ้านสวดชยันโต ไม่ได้ผุดได้เกิด
...
แต่ถ้าไม่ขึ้น ผลกระทบด้านการเงินการคลังของประเทศจะเป็นคู่ขนาน รายจ่ายเพิ่มขึ้นรายได้ลดลง ในที่สุดก็ถังแตก เพราะระบบการจัดเก็บภาษีอื่นๆไม่ว่าจะเป็นภาษีรายได้บุคคลธรรมดานิติบุคคล ภาษีสินค้า ภาษีสรรพสามิต ภาษีนำเข้า ไม่เข้าเป้าแม้แต่รายการเดียว จะเก็บภาษีคนรวยที่ดิน รวยหุ้นก็ไม่กล้า กลัวเป็นการก่อวินาศกรรมตัวเอง คนที่อยู่ในกรอบต้องเสียภาษีมีแค่กว่า 11 ล้านคน จากจำนวนประชากรกว่า 70 ล้านคน ในจำนวนผู้ที่ต้องเสียภาษี เก็บได้ไม่ถึงร้อยละ 40 นอกจากรายจ่ายประจำที่เพิ่มขึ้นยังต้องนำเงินไปใช้ในโครงการประชานิยมแบบจุกๆ มืดแปดด้าน.
หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th
คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม