ข่าว “เขย่าขวด” สุดสัปดาห์นี้ สถานการณ์รัฐบาลส่ออาการไม่ค่อยจะดีนักมีแต่ปัญหารุมเร้าที่ว่าจะอยู่ครบเทอม 4 ปี ดูท่าแล้วไม่น่าจะไหว! เอาแค่ปีหน้าให้รอดไปก่อนแล้วมาว่ากันดีกว่า

ประเด็นใหญ่สุดน่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนไปได้ยาก เนื่องจากไม่มีเม็ดเงินที่จะลงทุนหรือทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอันได้

จึงไม่แปลกที่ “พิชัย ชุณหวชิร” ขุนคลัง ต้องคิดหนักจนหัวปั่นมากกว่าแนวทางฟื้นฟูเศรษฐกิจเสียอีก เพราะสภาพปัจจุบัน

ต้องพูดว่า “ถังแตก”...ว่างั้นเถอะ!

การหยั่งเสียงวัดกระแสประเด็นที่จะขึ้นภาษีแวตจาก 7% เป็น 15% นั้นเป็นเรื่องจริงที่ต้องการจะทำเพียงแต่ยังไม่กล้าผลีผลาม

เพราะมันจะเกิดปัญหาต่อความไม่มั่นคงทางเสถียรภาพของรัฐบาล

เรื่องขึ้นภาษีนั้นไม่ว่าประชาชนประเทศไหนต่างไม่ชอบทั้งนั้น ทะเล่อทะล่า จู่ๆก็ประกาศขึ้นมีหวังถูกต่อต้านแน่

ลำพังวันนี้เศรษฐกิจก็แย่อยู่แล้วดันมาขึ้นภาษีซ้ำเติมเข้ามาอีก

ก็ไปไม่รอดแน่!

การที่ “ขุนคลัง” อธิบายว่าเป็นเพียง แค่แนวคิดแต่ก็ให้เหตุผลสนองตอบว่าการปรับปรุงระบบภาษีใหม่นี้

แม้ทุกคนจะเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (แวต) นี้ ไม่ว่าคนจน–คนรวยต่างก็ต้องจ่ายเท่ากันแต่เม็ดเงินที่เพิ่มขึ้นมาจะนำไปใช้ประโยชน์ให้คนจนในที่สุด

คือพูดแล้วดูดี...

แต่พอเอ่ยเรื่องนี้ขึ้นมาปุ๊บ เสียงคัดค้านก็แทรกขึ้นปั๊บ คือไม่ต้องใช้เวลานานก็รู้ผลแล้วเพราะมันเป็นภาระของคนทุกคน

เมื่อราคาสินค้าพุ่งสูงขึ้น ธุรกิจก็แย่ไล่ตามเป็นลูกโซ่

แม้จะเอาตัวเลขของแต่ละประเทศมาเทียบเคียงเพื่อให้เห็นว่าของไทยแค่ 7% เท่านั้น แต่อีกหลายประเทศในอาเซียน

...

ยังเก็บมากกว่าไทยเสียอีก...

ปัญหาที่สภาพการเงินของรัฐบาลอยู่ในภาวะ “ถังแตก” นั้น เรื่องหนึ่งก็คือนโยบายประชานิยม “ดิจิทัลวอลเล็ต” แจกหัวละ 10,000 บาท

เพื่อหาเสียงหาคะแนนนิยม

แต่ไม่ได้ดูว่าสภาพความเป็นจริงนั้นเป็นอย่างไร มีเสียงติติงคัดค้านไม่เห็นด้วยก็ไม่พอใจ ที่สุดความจริงก็ให้คำตอบของมันเอง...วันนี้เลยต้องคิดวิธีการต่างๆ เพื่อหาเงิน

ง่ายที่สุดก็คือการขึ้นภาษี!

ด้วยเสียงคัดค้านดังไปรอบทิศอย่างนี้... สุดท้ายคงไม่กล้าสวนกระแส

สัปดาห์หน้าสภาฯจะเปิดสมัยประชุมทุกอย่างจะไหลไปรวมกันที่นั่น ล่าสุดฝ่ายค้านโดยพรรคประชาชนประกาศจะยื่นซักฟอกรัฐบาล เพราะมีหลายประเด็น ที่ต้องสะสาง

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอ็มโอยู 44 ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ ปัญหาเศรษฐกิจและเรื่องอื่นๆที่รอขึ้นเขียงอยู่

ฝ่ายค้านได้ทำการบ้านเป็นอย่างดี และไม่กลัวการ “ยุบสภา” อีกด้วย

การที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ไปช่วยผู้สมัครนายก อบจ.ที่อุดรฯและประกาศชนพรรคคนรุ่นใหม่อย่างเต็มตัว...นั่นคงทำให้แกนนำและบรรดาผู้อยู่เบื้องหลังย่อมรู้สึกได้

“ทักษิณ–เพื่อไทย” คือคู่ศึกทางการเมืองที่ประนีประนอมไม่ได้แล้ว

จากท่าทีที่ผ่านมาที่ไม่กล้าชน จนสังคมมองว่าไม่ค้านจริง จากนี้ไปคงได้เห็น ฝ่ายค้านในลุคใหม่ แต่ถ้ายังเป็นแบบเก่า

คือหน่อมแน้มก็ยิ่งจะเสียหายทางการเมือง

เพราะนี่เป็นช่วงเวลาที่เหมาะสมและเงื่อนไขต่างๆก็เอื้ออำนวยเพื่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลง

ขนาด “เพื่อไทย” เองยังเตรียมพร้อม ปลุกเร้าลูกพรรคอาจจะต้อง “ยุบสภา” เร็วขึ้น!

“ลิขิต จงสกุล”

คลิกอ่านคอลัมน์ “สับรางวันอาทิตย์” เพิ่มเติม