แต้มก็ต้องทำ ปัญหาก็ต้องเร่งแก้ คิวหัวหมุน “นายกฯอิ๊งค์” แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องรีบสั่งการระดมความช่วยเหลือด่วน แก้ปัญหาอุทกภัยภาคใต้ จู่โจมโซนด้ามขวานจมน้ำหลายจังหวัด

วิกฤติสุดในรอบ 40 ปี ผลพวงอิทธิฤทธิ์ฝนกระหน่ำไม่หยุด เกิดน้ำป่าหลากท่วมมหาศาลขยายเป็นวงกว้าง บ้านเรือน ถนนจมมิด เดือดร้อนกันแสนสาหัส ต้องวางแผนเร่งอพยพโกลาหล

เหตุฉุกละหุกเฉพาะหน้า คั่นจังหวะนายกฯหญิงไล่ทำคะแนน ระหว่างลงพื้นที่ ครม.สัญจร จ.เชียงใหม่ ไปกระตุ้นภาคการท่องเที่ยวช่วงไฮซีซัน

โอกาสที่ต้องเร่งช้อนคะแนนต่อเนื่อง ในห้วงที่กำลังมั่นใจ หลังพรรคเพื่อไทยเพิ่งชนะศึกเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) อุดรธานี

ต่อเนื่องช็อตยกภูเขาออกจากอก “นายใหญ่” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รอดคดีล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ศาลรัฐธรรมนูญตีตกไม่รับคำร้อง 6 ข้อกล่าวหา หลุดบ่วงนิติสงครามด่านสำคัญ

จังหวะการเมืองกำลังเป็นใจให้กองทัพเพื่อไทย ทั้งรักษาฐานใหญ่เมืองหลวงเสื้อแดงได้สำเร็จ และยังหลุดคดีล้มล้างการปกครองฯ มีสัญญาณบวกในสนามเลือกตั้ง และเรื่องคดีความ

เติมความฮึกเหิมในการขับเคลื่อนทางการเมืองไปสู่แผนคิดการใหญ่ กวาด สส. 200 เสียงขึ้นไป ในการเลือกตั้งรอบหน้า ต้องเปิดเกมปั่นคะแนนนิยมต่อเนื่อง โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือ ภาคอีสาน สังเวียนหลักโกยแต้มพรรคเพื่อไทยทุกยุคสมัย

ล็อกเป้าใหญ่แต่เนิ่นๆที่ จ.เชียงใหม่ อาศัยการคิกออฟ ครม.สัญจร แมตช์แรก รัฐบาล “นายกฯอิ๊งค์” เป็นเวทีเพิ่มเรตติ้ง วางแผนปูพรมแก้ปัญหาเรื้อรังฝุ่น PM 2.5

ปัญหายาเสพติด การกระตุ้นการท่องเที่ยว ต่อด้วย จ.เชียงราย ไปแก้ปมปากท้องเศรษฐกิจในพื้นที่ และปัญหาหมอกควัน

...

ทวงความยิ่งใหญ่ ยึดเมืองหลวงภาคเหนือกลับคืนมา หลังโดนคู่แข่งลูบคมในการเลือกตั้งรอบที่แล้ว เหลือ สส.เชียงใหม่แค่ 2 คน จาก 10 คน

ตีคู่ไปกับโปรแกรมออนทัวร์ของ “ทักษิณ” รอเดินสายไปช่วยหาเสียงชิง 3 เก้าอี้นายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด อุบลราชธานี-เชียงใหม่-ศรีสะเกษ ในเดือน ธ.ค. วางฐานเสียงระดับท้องถิ่นให้แน่นหนา ต่อยอดไปสู่เป้าหมายระดับประเทศ

พ่อ-ลูกร่วมปั่นผลงานมือเป็นระวิง ในช่วงที่ม็อบมืออาชีพเจ้าเก่า สนธิ  ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย รอจังหวะปลุกมวลชนลงถนนไล่รัฐบาล

หยั่งเชิงวันที่ 9 ธ.ค.นัดบุกทำเนียบรัฐบาล ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ให้ล้มการเจรจาเอ็มโอยู 44 ที่อาจทำให้ไทยเสียดินแดนแก่กัมพูชา

คู่แค้นเก่ายุครัฐบาล “ทักษิณ” จ่อคัมแบ็กถือธงนำม็อบ เปิดศึกเอ็มโอยู 44 ขายสมบัติชาติ หยิบเรื่องอ่อนไหวทางความรู้สึกมาปั่นกระแส เร้าอารมณ์ประชาชน

เกมอันตรายที่รัฐบาลประมาทไม่ได้ ตามเงื่อนไขปลุกม็อบที่มีหลายเรื่อง ทั้งเอ็มโอยู 44 ปัญหาที่ดินเขากระโดง กรณีการรักษาตัวชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจของนายทักษิณ

ล้วนเป็นหัวเชื้อชั้นดีที่กำลังถูกเพาะบ่มให้นำไปปลุกม็อบลงถนน

ไม่ใช่แค่ “สนธิ” ที่ตามรุกไล่เท่านั้น แต่ยังมีฝ่ายค้าน พรรคประชาชนร่วมผสมโรง นำเรื่องไปขยี้ใน กมธ.ชุดต่างๆเพื่อขยายผล เร่งรัดให้สุกงอมเร็วขึ้น

ฝ่ายค้าน ฝ่ายแค้น กลายเป็นแนวร่วมเฉพาะกิจรุกไล่เขย่ารัฐบาล หากปล่อยให้อารมณ์ประชาชนถูกจุดติด ก็เสี่ยงเข้าเงี่ยง ระดมพลลงถนน

สารพัดปมอ่อนไหวที่ต้องรีบตัดไฟแต่ต้นลม ทำความเข้าใจให้เกิดความชัดเจน ไม่ให้มวลชนถูกดึงไปอยู่ฝั่งม็อบ “สนธิ” รวมถึงต้องระวังความเสี่ยงจากตัว “ทักษิณ” ที่มักเป็นสายล่อฟ้า เคลื่อนไหวเรียกความหมั่นไส้จากหลายฝ่าย เร่งสถานการณ์ให้สุกงอมเร็วขึ้น

ไฟต์บังคับรัฐบาลต้องเร่งเครื่องทำผลงาน สร้างภูมิคุ้มกันให้ตัวเอง ป้องกันโรคแทรก

ขับเคลื่อนการพลิกฟื้นเศรษฐกิจประเทศให้เห็นผลเป็นรูปธรรม คู่ไปกับการเหยียบคันเร่งนโยบายเรือธง แจกเงินหมื่นให้ถึงประชาชนทุกกลุ่มที่มีสิทธิโดยเร็ว

ชาวบ้านท้องอิ่ม ภูมิต้านทานรัฐบาลแข็งแรง ม็อบก็จุดติดลำบาก!!!


ทีมข่าวการเมือง

คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม