เตรียมลงถนนรวมพลคนคลั่งชาติ สมชื่อม็อบของแท้
พร้อมหน้าทั้งเจ้าเก่า ขาประจำ พลพรรคคนเกลียดทักษิณ ไม่เอาเพื่อไทย เจตนาเขย่ารัฐบาลให้เสียศูนย์ หรือล้มไปเลยได้ยิ่งดี แม้ยังไม่รู้จะหาใครขึ้นมานำพาประเทศแทนก็ช่าง
วาระประชาธิปไตยจะอยู่ครบเทอม 4 ปีแสนยากเย็น แตกต่างกับวาระยึดอำนาจ ตั้งรัฐบาลอยู่โคตรนาน แถมยังมากันบ่อย ประชาธิปไตยไทยกว่าจะได้มาเพียงเศษเสี้ยว
แป๊บเดียวก็รัฐประหารอีกแล้ว มีมาแล้ว 13 ครั้ง
จุดยืนม็อบที่กำลังก่อหวอดเคลื่อนไหว คือ เกลียดแดง กลัวส้ม แต่ชาวบ้านประชาชนเขาเลือกกันมาครึ่งค่อนประเทศ ถ้าทำใจยอมรับใครไม่ได้ก็อย่าเรียกตัวเองว่าประชาธิปไตย อย่าอ้างเป็นธงนำเคลื่อนไหวชุมนุม เพราะสิ่งที่พยายามทำอยู่นั่นคือการทำลาย
สถานการณ์ไม่มีอะไรให้จุดไฟ ชั่วโมงนี้ชาวบ้านจะจุดไฟในเตาหุงข้าวยังลำบาก
สุดท้ายหยิบยกปมเสียดินแดนมาขยี้ขยาย
ปลุกความกลัว นัวเนียอยู่กับความอ่อนไหว โหมประโคมไทยจะเสียดินแดนให้กัมพูชา ปั่นกันราวกับว่าเสียไปแล้ว ทั้งที่ยังไม่ได้ลงมือเจรจา แม้แต่กรรมการ JTC ยังตั้งไม่เสร็จเลย
ถือเป็นความเสี่ยงมุมกลับร้ายแรงของม็อบเช่นกัน เพราะไทยเรากำลังจะตั้งโต๊ะเจรจากับกัมพูชาเรื่องสำคัญสุดยอด แบ่งปันทรัพยากรในพื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน ผลประโยชน์มูลค่ามหาศาลนับ 10 ล้านล้านบาท
ถ้ารุกไล่ราวีรัฐบาลจนเป็นสาเหตุให้หาประโยชน์เข้าประเทศไม่ได้เลย จะรับผิดชอบไหวมั้ย
ท่าทีรัฐบาลเองก็ระวังเต็มที่อยู่แล้ว รู้ดีเรื่องนี้อ่อนไหว ถ้าทำพลาดเสียดินแดนจริงๆ ไม่ต้องให้ใครมาไล่รัฐบาลก็ต้องไปอยู่ดี และคงไปแล้วไปลับกลับมาไม่ได้อีก
เบื้องต้นจึงวางหลักเกณฑ์แนวทางไว้แล้วว่าการเจรจากับกัมพูชาครั้งนี้ ต้องแหวกม่านประเพณีคุยกันเฉพาะเรื่องแบ่งปันผลประโยชน์ ไม่มีเรื่องของเขตแดน–น่านน้ำ
...
อะไรที่มันค้างคา อะไรที่เป็นปัญหา ยังตกลงกันไม่ได้ ก็ปล่อยไว้เหมือนเดิมอย่างนั้นทุกอย่าง
แสวงจุดร่วมผลประโยชน์ สงวนจุดต่างเรื่องเขตแดน
แม้จะเป็นเรื่องยาก เพราะตามเอ็มโอยู ข้อตกลงที่เข้าใจตรงกันระหว่างไทย–กัมพูชา ได้กำหนดเงื่อนไขมัดเอาไว้ว่า “ผลประโยชน์ และ พื้นที่อ้างสิทธิทับซ้อน” 2 เรื่องนี้
จะต้องหารือในคราวเดียวกันเท่านั้น
กลายเป็นพันธะผูกพันจนเป็นภาระ “ไทย-กัมพูชา” จำเป็นต้องแก้เงื่อนปมนี้ก่อน เพื่อให้สามารถคุยกันเฉพาะผลประโยชน์เพียวๆ จากนั้นจะกำหนดพิกัด อัตราส่วน เปอร์เซ็นต์กันยังไง รูปแบบไหน ต้องคุยให้ลงตัว พอใจทั้ง 2 ฝ่าย
อย่าลืมว่าจำเป็นต้องแข่งกับเวลา ถ้าตกลงกันไม่ได้ยืดเยื้อไปมา ก็มีแต่เสียหายย่อยยับกันหมด
ดูทรงแล้วแม้จะสามารถแยกเรื่อง เอาเฉพาะผลประโยชน์มาแบ่งกันได้ ก็ยังไม่ง่ายเลย
แต่ถ้าคุย 2 เรื่องพร้อมกันชาตินี้อาจไม่ได้ข้อยุติ
มองอีกแง่รัฐบาลเองก็ต้องแบกรับความเสี่ยงเรื่องผลประโยชน์ชาติที่ควรต้องได้เช่นกัน เรียกว่าทั้งขึ้นทั้งล่อง ถ้างานนี้เจรจากับกัมพูชาไม่สำเร็จตกลงกันไม่ได้ นึกไม่ออกเหมือนกันว่าสภาพจะเป็นยังไง
ที่แน่ๆเสียงต่อว่าด่าทอ ถามหาความรับผิดชอบจากคนทั้งประเทศ อาจจะสะท้านสะเทือนกับรัฐบาลมากกว่าม็อบที่จ่อเคลื่อนไหวตอนนี้หลายเท่า แนวโน้มจะหนักหนาสาหัสจนอยู่ไม่ได้
บางครั้งรัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย ต้องเอาเรื่องอนาคตมาชี้วัด ชั่งน้ำหนักตัดสินใจ
ไม่ใช่เอาอดีตมาฝังหัว หวาดกลัว ก้าวไม่ข้าม หลายครั้งจึงออกอาการละล้าละลังไม่กล้าเดินหน้าทำอะไร
แม้วันนี้พรรคเพื่อไทยจะอยู่ขั้วเดียวกับฝ่ายอนุรักษ์นิยม
อำนาจเก่าแล้ว ยังโดนแซะไม่เลิก แก๊งเกลียดทักษิณไม่เอาเพื่อไทยที่อยู่บนรถคันเดียวกัน ยังแอบตีมึนเจาะยางกันหน้าตาเฉย
แต่ถึงอย่างนั้น ก็จับสัญญาณได้เหมือนกันว่าภูมิคุ้มกันของ “นายใหญ่จันทร์ส่องหล้า” ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ และพลพรรคเพื่อไทย ก็แข็งแกร่งขึ้นเช่นกัน
ถ้าเปรียบการเมืองไทยมี 3 ก๊ก ตอนนี้คือ 2 ก๊กอยู่ด้วยกัน
ก๊กเก่าออกไปยืนชี้หน้าด่าก๊กส้ม แล้วยังชกก๊กแดงฝ่ายเดียวกัน เพราะยังฝังแค้นอดีต
วันนี้เป็นก๊กเล็กสุด แต่ยังหลงใหลในอำนาจมากที่สุด
น่าจะถึงเวลา “ก๊กแดง” กำราบศึกใน ขับเคลื่อนผลงานต้านทานศึกนอก.
ทีมข่าวการเมือง
คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม