ก็คงไม่แปลกที่พลพรรคเพื่อไทย โดยเฉพาะ “แพทองธาร ชินวัตร” หัวหน้าพรรคและนายกรัฐมนตรี จะยินดีปรีดาที่ศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้องคดีล้มล้างการปกครองประเทศ

มันเหมือนกับยกภูเขาออกจากอกที่กดดันทับช่วงก่อนหน้านี้

ว่ากันถึงคำร้องทั้ง 6 ประเด็นที่ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ทนายความที่เคยยื่นยุบพรรคก้าวไกลประสบความสำเร็จมาแล้ว

มี 6 ประเด็น

1.“ทักษิณ ชินวัตร” เข้ารักษาตัวที่ชั้น 14 รพ.ตำรวจ 2.กรณีพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา 3.ร่วมมือกับพรรคประชาชนเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญ 4.การประชุมที่บ้านจันทร์ส่องหล้าเพื่อตั้งรัฐบาลใหม่ 5.มติจับพรรคพลังประชารัฐออกจากรัฐบาล 6.นำนโยบายที่แสดงวิสัยทัศน์เป็นนโยบายของรัฐบาล

ปรากฏมติของศาลรัฐธรรมนูญในข้อที่ 1 และ 3, 4, 5, 6 เป็นเอกฉันท์ไม่รับคำร้องเนื่องจากน้ำหนักและพยานหลักฐานไม่เพียงพอที่จะชี้ว่าล้มล้างการปกครอง

แต่ข้อที่ 2 มติ 7 ต่อ 2 ไม่รับคำร้องด้วยเหตุผลเดียวกัน

เพียงแต่มติไม่เป็นเอกฉันท์เนื่องจากมีตุลาการ 2 ท่าน เห็นแย้งว่าควรรับคำร้องเนื่องจากมีพยานหลักฐานเพียงพอที่จะแสดงให้เห็นการกระทำของผู้ร้องล้มล้างการปกครองประเทศ

ด้วยมติที่ออกมาอย่างนี้ก็เท่ากับว่าผู้ถูกร้องที่ 1 คือ “ทักษิณ ชินวัตร” และผู้ถูกร้องที่ 2 คือ “เพื่อไทย” ที่เดินไต่เส้นลวดก่อนหน้านี้

“พ้นพงหนาม” ไปทันที!

อยู่ที่จะมีผู้ร้องยื่นคำร้องอีกหรือไม่ในประเด็นที่เคยร้องมาแล้วถ้ามีประเด็นใหม่ที่น่าเชื่อว่ามีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครอง

แต่ถ้าไม่มีประเด็นใหม่ก็ยื่นไม่ได้แล้ว

ซึ่งผู้ร้องคนเดิมบอกว่ากำลังศึกษาข้อวินิจฉัยของศาลว่าเป็นอย่างไรแล้วจึงจะตัดสินใจอีกทีโดยไม่เกรงกลัวที่พรรคเพื่อไทยจะฟ้องกลับว่านำความเท็จไปยื่นศาล เพราะรัฐธรรมนูญได้ให้อำนาจประชาชนสามารถใช้สิทธิเสรีภาพได้

...

อีกมุมหนึ่งก็คือการที่ กกต.ได้สอบสวนเบื้องต้นพบว่า “มีมูล” ในการครอบงำพรรค เมื่อตัวแทนของพรรคร่วมรัฐบาลได้เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าเพื่อตั้งนายกรัฐมนตรีและรัฐบาลชุดใหม่ ซึ่งอยู่ใน ขั้นตอนการดำเนินการของ กกต.

แต่ก็ต้องมีข้อมูลใหม่ศาลจึงจะรับวินิจฉัย

และอีกประเด็นคือพื้นที่ทับซ้อนไทย-กัมพูชา เนื่องจากมีตุลาการ 2 ท่าน เห็นว่าควรรับวินิจฉัยซึ่งก็ต้องเป็นเรื่องของรัฐบาลที่จะต้องพิจารณาให้รอบคอบ

หากมีการเจรจาแล้วทำให้เชื่อว่าทำให้ประเทศต้องเสียดินแดน

รัฐบาลก็ต้องรับผิดชอบเรื่องนี้เต็มตัว...

เหนืออื่นใดมติของศาลรัฐธรรมนูญที่ออกมาเช่นนี้เป็นการดำเนินการในแง่กฎหมาย แต่ความจริงในเรื่องนี้จะมี “อำนาจแฝง” เข้ามามีส่วนหรือไม่

เป็นเรื่องที่ต้องแกะรอยกันต่อไปว่า “ทักษิณ” รู้คำตอบก่อนสอบหรือไม่ เพราะการแสดงบทบาทที่อุดรฯหลังจากที่เก็บตัวเงียบมานานแต่จู่ๆก็ออกมาอย่างนี้

เพราะดูเหมือนจะมีความมั่นใจจนกล้าแสดงออกอย่างเต็มที่โดยไม่ได้เกรงกลัวว่าจะเกิดผลตามมาอย่างไร

อันหมายถึงว่า “ดีลลับ” ยังคงดำเนินการต่อไป!

สถานการณ์จากนี้ก็เท่ากับว่าสามารถปลดล็อก “กับระเบิด” ออกไปแล้วก็คงต้องเร่งทำงานเพื่อสร้างผลงานให้เป็นที่พอใจของ ประชาชนเพื่อจะได้อยู่ครบเทอมและชนะการเลือกตั้งปี 2570

บทเรียนในครั้งนี้คงทำให้ “ทักษิณ” จะต้องเดินเกมด้วยความรอบคอบและระมัดระวังมากขึ้นเพราะทำให้อีกฝ่ายเกิดความรู้สึกแค้นเคืองมากยิ่งขึ้น

เพราะถ้ามีอีกครั้งอาจจะไม่โชคดีเหมือนครั้งนี้ก็ได้

อย่างเรื่องที่จะเอา “น้องสาว” กลับบ้านสงกรานต์ปีหน้าก็ต้องผ่านขั้นตอนที่ถูกต้องตามกฎหมายไม่ใช่แหกกฎ

ซึ่งจะทำให้ลุกเป็นไฟขึ้นมาแน่.

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม