“รมว.นฤมล” ร่วมประชุมรัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง ประกาศ ไทยพร้อมร่วมมือพัฒนาระบบเกษตรและอาหาร ตั้งเป้าสร้างความเท่าเทียมให้เกษตรกรรายย่อย
วันที่ 22 พฤศจิกายน 2567 ศ.ดร.นฤมล ภิญโญสินวัฒน์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ เข้าร่วมการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 3 พร้อมด้วย นายถาวร ทันใจ รองปลัดกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ นางสาวไปรยา เศวตจินดา ผู้อำนวยการสำนักการเกษตรต่างประเทศ นางสาวอาทินันท์ อินทรพิมพ์ อัครราชทูตที่ปรึกษา (ฝ่ายเกษตร) ประจำกรุงปักกิ่ง นายปรัตถกร แท่นมณี กงสุล (ฝ่ายเกษตร) ประจำนครกว่างโจว และผู้แทนสำนักการเกษตรต่างประเทศ
รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ กล่าวในที่ประชุมว่า ขณะนี้ ทั่วโลกกำลังเผชิญกับความท้าทาย ตั้งแต่ผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ดังนั้น ระบบอาหารที่ยั่งยืนจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ (SDGs) เพื่อบรรลุความท้าทายนี้ระบบอาหารโลกจะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลงเพื่อความยั่งยืน โดยมีการดำเนินการที่ประสานงานกันในระดับท้องถิ่น ระดับชาติ ระดับภูมิภาค และระดับโลก
ประเทศไทยมีนโยบายรับมือกับความท้าทายต่างๆ โดยยึดหลักการขับเคลื่อนด้วยตลาดนำ นวัตกรรมเสริม เพิ่มรายได้ โดยใช้โมเดลกล่าวสนับสนุนเศรษฐกิจ BCG (Bio-Circular-Green) ควบคู่ไปกับการใช้ทรัพยากรที่ดินและน้ำอย่างยั่งยืนเพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายการพัฒนาอย่างยั่งยืนของสหประชาชาติ การเปลี่ยนแปลงระบบเกษตรและอาหารจะช่วยให้ภาคการเกษตรปรับตัวเข้ากับความท้าทายได้ดีขึ้น ขณะเดียวกัน จะส่งเสริมการพัฒนาการเติบโตที่ครอบคลุมโดยให้ความสำคัญกับเกษตรกรรายย่อย สตรี เยาวชน และกลุ่มด้อยโอกาสอื่นๆ เข้าถึงทรัพยากรและโอกาสต่างๆ อย่างเท่าเทียมกัน
...
นอกจากนี้ ประเทศไทยมีศักยภาพอย่างมากในด้านห้องปฏิบัติการวินิจฉัยโรคสัตว์ การควบคุมโรคระบาดสัตว์ข้ามพรมแดน การจัดการการดื้อยาต้านจุลชีพ เกษตรอัจฉริยะ เทคโนโลยีและนวัตกรรม รวมถึงโครงการหมอดินอาสาสมัคร ซึ่งประเทศไทยสามารถสนับสนุนและร่วมมือกับประเทศสมาชิกในอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง
ในนามประเทศไทย รัฐมนตรีกล่าวสนับสนุนกรอบยุทธศาสตร์คุนหมิงสำหรับการเปลี่ยนแปลงระบบเกษตรอาหาร ภายใต้ GMS 2030 ซึ่งเป็นกรอบการดำเนินงานสำหรับประเทศสมาชิกของอนุภูมิภาคลุ่มน้ำโขง และมุ่งหวังการดำเนินงานที่เป็นรูปธรรมในอนุภูมิภาค ทั้งนี้ นับเป็นก้าวสำคัญของ GMS ที่รัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขงที่ได้ร่วมกันรับรองกรอบยุทธศาสตร์คุนหมิง เพื่อแสดงความมุ่งมั่นในการเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ความยืดหยุ่น และความยั่งยืนให้กับภาคการเกษตรและอาหารในอนุภูมิภาค
ถกม รมต.เกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ชูความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างกัน
นอกจากนี้ ศ.ดร.นฤมล ได้เปิดเผยถึงการหารือกับ H.E. Mr. Zhang Zhili รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและกิจการชนบท ในการประชุมระดับรัฐมนตรีเกษตรของอนุภูมิภาคลุ่มแม่น้ำโขง ครั้งที่ 3 ว่า เราได้มีการยกประเด็นการส่งเสริมและสนับสนุนความร่วมมือด้านการเกษตรระหว่างไทยและจีน ภายใต้บันทึกความเข้าใจว่าด้วยความร่วมมือทางวิชาการเกษตรไทย – จีน (Sino – Thai Agricultural Technical Cooperation) ซึ่งมีการจัดการประชุมร่วมกันมาแล้ว 12 ครั้ง สามารถดำเนินโครงการความร่วมมือร่วมกันกว่า 70 โครงการ โดยทั้งสองประเทศจะใช้กลไกความร่วมมือทวิภาคีในการกระชับความร่วมมือด้านการเกษตรให้มากยิ่งขึ้น และมุ่งหวังในการประชุมครั้งที่ 13 ที่ฝ่ายจีนเป็นเจ้าภาพจะเป็นโอกาสให้ทั้ง 2 ฝ่าย สามารถผลักดันโครงการความร่วมมือด้านการเกษตรของทั้ง 2 ประเทศให้ความสำคัญ อาทิ การใช้เทคโนโลยีและนวัตกรรม เกษตรอัจฉริยะ ระบบตรวจสอบย้อนกลับ รวมถึงสร้างความเป็นอยู่ที่ดีให้แก่เกษตรกร
นอกจากนี้ ฝ่ายไทยได้เตรียมความพร้อมในการเยือนของนายกรัฐมนตรีในเดือนมกราคม 2568 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ทางการทูตและเศรษฐกิจระหว่างไทยและจีน โดยเฉพาะในบริบทของการเฉลิมฉลองครบรอบ 50 ปี ของความสัมพันธ์ทางการทูตระหว่างสองประเทศ ซึ่งเป็นโอกาสอันดีในการลงนามพิธีสารว่าด้วยความปลอดภัยอาหารด้านการสัตวแพทย์ การปกป้องพืช เพื่อการส่งออกผลิตภัณฑ์จากผึ้งจากไทยไปจีน ร่วมกับ GACC ซึ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทย ทำให้สามารถทำการส่งออกน้ำผึ้งรวมไปถึงนมผึ้ง (royal jelly) และเกสรผึ้ง (bee-collected pollen) จากไทยไปจีนได้มากขึ้น
ทั้งนี้ สาธารณรัฐประชาชนจีนเป็นตลาดส่งออกอันดับ 1 ของไทยสำหรับสินค้าเกษตร โดยมีมูลค่าส่งออก 11,271 ล้านดอลลาร์สหรัฐ คิดเป็นร้อยละ 42 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าเกษตรกรรมทั้งหมด และมีมูลค่าการส่งออกที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยมีสินค้าเกษตรที่สำคัญ อาทิ ทุเรียน มันสำปะหลัง ยางพารา สำหรับสินค้าผลไม้ที่ไทยส่งออกไปจีนได้แล้วมีทั้งสิ้นจำนวน 22 รายการ และอยู่ระหว่างการขอยื่นการเปิดตลาดอีก 6 รายการ โดยขอให้จีนสนับสนุนและผลักดันให้การพิจารณาแล้วเสร็จ เพื่อการขยายตลาดของทั้งสองฝ่ายให้เพิ่มมากขึ้นอีกด้วย