“ชูศักดิ์” บอกตรงๆ ตอบยาก ไม่รู้ “ยิ่งลักษณ์” กลับไทยแบบไหน รับ กฎหมายนิรโทษกรรมไม่เสร็จง่ายๆ การันตี “ทักษิณ” ถือสัญชาติไทยช่วยหาเสียงได้ มอง คำร้อง “ธีรยุทธ” ไปไม่ได้ เหตุไม่เข้าเกณฑ์ล้มล้างการปกครอง แต่ขึ้นอยู่ดุลยพินิจศาลรัฐธรรมนูญ

เมื่อเวลา 14.05 น. วันที่ 20 พฤศจิกายน 2567 นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะรองหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) ให้สัมภาษณ์ที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงกรณี นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จะกลับประเทศไทยในช่วงสงกรานต์ปีหน้า ว่า เรียนตามตรงตนไม่ทราบรายละเอียดว่าเป็นอย่างไร เป็นกระบวนการของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะท่านคงไม่มาระบุบอกเราหรือบอกใคร แต่รับรู้รับทราบ ส่วนจะจริงหรือไม่นั้นไม่รู้รายละเอียดเลย พูดไปก็เป็นการเดามากกว่า เลยไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร

ผู้สื่อข่าวถามต่อถึงแนวโน้มที่ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรม จะเสร็จก่อนที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะเดินทางกลับมาหรือไม่ อย่างไร นายชูศักดิ์ ระบุว่า ยังไม่แน่ใจว่าท้ายที่สุดจะเข้าสู่การพิจารณาของสภาได้เมื่อไหร่ จริงๆ เปิดสมัยประชุมมากฎหมายนี้ก็อยู่ในวาระที่จะถึง แต่ความเห็นของตนคิดว่ากฎหมายเหล่านี้คงไม่ได้เสร็จง่ายๆ เท่าที่เห็นและเท่าที่ศึกษาก็เถียงกันมากมายก่ายกอง กว่าจะลงเอยอย่างโน้นอย่างนี้ กฎหมายเหล่านี้คงไม่เสร็จง่ายๆ ฉะนั้น ตอบไม่ได้ว่าท้ายที่สุดแล้วจะก่อนหรือหลัง ที่สำคัญตนไม่ทราบรายละเอียดว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะกลับมาอย่างไร เพราะไม่ได้คุยอะไรกัน พูดกับสื่อตรงไปตรงมาว่าไม่รู้จริงๆ

ส่วนคำถามว่าเมื่อกลับมาต้องกลับมารับโทษตามปกติหรือไม่ นายชูศักดิ์ กล่าวว่า “ก็นี่ไง ท้ายสุดก็ไม่รู้จะตอบอย่างไร เพราะกระบวนการก็มีอยู่ว่าจะต้องทำอย่างไร ซึ่งเราไม่รู้ว่าท่านคิดอย่างไร จะกลับอย่างไร” เมื่อถามย้ำว่าถ้าดูในเชิงกฎหมายดูเหมือนกรณีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ จะยากกว่าของ นายทักษิณ มองเรื่องนี้อย่างไร นายชูศักดิ์ ย้ำว่า ตอบไม่ได้ว่าท้ายสุดจะทำอย่างไร จะมีกระบวนการอย่างไร ถ้าสื่อจะถามว่ามันยากหรือง่าย ตอบไม่ได้จริงๆ ต้องรู้เสียก่อนว่ากระบวนการทำอย่างไร

...

ทางด้านกรณีที่มีการร้องเรื่องการถือ 2 สัญชาติ คือไทยและมอนเตเนโกรของ นายทักษิณ ทำให้ไม่สามารถเป็นผู้ช่วยหาเสียงนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ได้นั้น นายชูศักดิ์ เผยว่าตนเองไม่ทราบ แต่ที่รู้แน่ๆ นายทักษิณ มีสัญชาติไทยแน่นอน โดยหลักสืบสายโลหิตบิดามารดา โดยหลักดินแดน เพราะฉะนั้นเป็นคนไทย มีสัญชาติไทยแน่นอน ส่วนจะมีสัญชาติอื่นอย่างไรตนไม่ทราบรายละเอียด แต่มันไม่ได้มีข้อห้ามอะไร ไทยเป็นประเทศหนึ่งในหลายๆ ประเทศที่ไม่มีข้อห้ามเรื่องพวกนี้ แต่ขณะนี้ก็ชัดเจนที่สุดว่าท่านเป็นคนไทย เป็นคนที่ถือสัญชาติไทย เกิดในประเทศไทย บิดามารดาเป็นคนไทย แล้วจะเอาสัญชาติอะไรอีกล่ะ ซึ่งตามข้อกฎหมายตนคิดว่าไม่มีปัญหา ก็ลองไปเปิดดูกฎหมายไทยมีข้อห้ามอะไรหรือไม่ คำตอบอยู่ในกลุ่มร้อยกว่าประเทศที่ไม่มีข้อห้ามอะไรเลย

นอกจากนี้ เมื่อถามถึงกรณีที่ศาลรัฐธรรมนูญนัดพิจารณารับหรือไม่รับคำร้องของ นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่ขอให้ศาลมีคำสั่งให้ นายทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ยุติการกระทำที่เข้าข่ายการล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ในวันที่ 22 พฤศจิกายนนี้ โดยนายชูศักดิ์ เผย ว่าเป็นดุลยพินิจของศาลว่าจะเห็นอย่างไร แต่เราสู้ไปว่ามันไม่เข้าเกณฑ์ล้มล้างการปกครอง คนไปคุยกัน ไปดูรายละเอียดกัน ไปทำนู่นทำนี่ แสดงความเห็นเรื่องนั้นเรื่องนี้มันจะเป็นการล้มล้างการปกครองไปได้อย่างไร พวกเราทราบดีว่าการล้มล้างการปกครองต้องเป็นการกระทำที่เป็นปฏิปักษ์ต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย

“แต่นี่มันตรงกันข้าม เช่น คุยกันว่าจะตั้งรัฐบาล มันจะไปล้มล้างการปกครองตรงไหน ผมคิดว่ามันไม่เข้าเกณฑ์ เราก็สู้ไปว่าไม่เข้าเกณฑ์ และทราบจากข่าวว่าทางอัยการสูงสุด มีความเห็นว่าไม่เข้าเกณฑ์ แต่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับไว้หรือไม่ เป็นดุลยพินิจของศาล ไม่ก้าวล่วง”

ในตอนท้ายผู้สื่อข่าวถามว่า การที่อัยการสูงสุดมีความเห็นแบบนี้ ทำให้พรรคเพื่อไทยใจชื้นหรือไม่ นายชูศักดิ์ ตอบว่า จริงๆ รู้อยู่แล้วว่าข้อกฎหมายมันไปไม่ได้ เรารู้ตั้งแต่ต้นแล้วหลังจากเห็นคำร้องว่ามันไปไม่ได้ เมื่อถามอีกว่าหากศาลรัฐธรรมนูญไม่รับคำร้อง จะมีการฟ้องกลับ นายธีรยุทธ หรือไม่ นายชูศักดิ์ เผยว่า อันนั้นต้องว่ากันอีกที ดูอีกทีว่าศาลไม่รับคำร้องเพราะอะไร ผู้สื่อข่าวจึงได้ถามย้ำว่ามีโอกาสฟ้องกลับหรือไม่ เพื่อเป็นการห้ามปรามให้มีการฟ้องร้องอะไรที่ไม่มีมูลอีก นายชูศักดิ์ กล่าวตอบว่า ส่วนตัวไม่อยากมีอะไรที่เรียกว่านิติสงคราม ฟ้องกันไปฟ้องกันมา ใจจริงอยากให้ประเทศเดินหน้า ไม่อยากเอาเรื่องไม่มีสาระมาอะไร แต่หลายคนในพรรคก็คิดอยู่เหมือนกันว่าเราจะหยุดขบวนการนี้อย่างไร ซึ่งก็ว่ากันไป.