“อนุทิน ชาญวีรกูล” ยัน ปมเขากระโดง ทุกฝ่ายใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ชี้ กรมที่ดินเป็นกรรมการ ไม่ใช่คู่ชก แนะ รฟท.พิสูจน์หลักฐาน-โฉนดให้ชัดเจน หลังเอกสารยังไม่ชัด บอกอยากให้จบ ฟ้องผู้ครอบครองทีละแปลง ปัดอุ้มตระกูลการเมือง ขออย่าโยงสัมพันธ์พรรคร่วม ลั่น ไม่เคยอยู่ในสมอง โดนใครทำต้องเอาคืน หลัง “อดีต ส.ว.สมชาย” จี้นายกฯ คืนที่ดินอัลไพน์
เมื่อเวลา 15.00 น. วันที่ 19 พฤศจิกายน 2567 ที่ทำเนียบรัฐบาล นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กล่าวถึงข้อพิพาทพื้นที่เขากระโดงระหว่างการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) และกรมที่ดิน ซึ่งกระทรวงคมนาคมยืนยันสิทธิ์ตามกฎหมาย จะฟ้องร้องคดีผู้ครอบครองภายใน 1 เดือน ว่า ทั้ง 2 หน่วยงานตอบเหมือนกันว่าจะใช้สิทธิ์ตามกฎหมาย ซึ่งกรมที่ดินดำเนินการตามคำพิพากษาของศาลที่เกี่ยวข้อง โดยคำพิพากษาของศาลฎีกา ผูกพันเฉพาะคู่กรณี คือ รฟท. และประชาชน 35 ราย ส่วนคำพิพากษาศาลปกครอง กรมที่ดินดำเนินการแล้วตามมาตรา 61 พ.ร.บ.ที่ดิน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากกระทรวงคมนาคมมีการฟ้องมาตรา 157 ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ หากอธิบดีกรมที่ดินไม่เพิกถอนที่ รฟท. นายอนุทิน กล่าวว่า ทุกคนใช้สิทธิ์ตามกฎหมายได้ ซึ่งคณะกรรมการของกรมที่ดิน มีมติไม่ให้เพิกถอน เพราะหลักฐานของ รฟท.ไม่เพียงพอ จึงเป็นสิทธิ์ของ รฟท.ที่จะอุทธรณ์ หากไม่สำเร็จ ก็มีสิทธิ์อุทธรณ์ไปยังหน่วยงานที่สูงกว่า รวมถึงมีช่องทางศาลยุติธรรม ซึ่ง รฟท.สามารถใช้สิทธิ์ตรงนั้นได้
นายอนุทิน กล่าวต่อว่า อยากเรียนกับประชาชนว่า เรื่องนี้ทุกฝ่ายปฏิบัติตามข้อกฎหมาย ต้องเลิกคิดว่าเป็นการช่วยเหลือใคร ซึ่งไม่มี ยิ่งเป็นกระแสช่วงนี้ ก็ยิ่งไม่มีใครอยากเข้าไปช่วยเหลือ เพราะไม่มีทางรอดการตรวจสอบได้ ยืนยันว่าตนไม่ช่วยเหลือใคร นอกจากให้ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ จะพูดตามใจและอารมณ์ความชอบหรือเกลียดส่วนตัวไม่ได้ ทุกอย่างต้องเป็นไปตามระเบียบและกฎหมาย ทั้งนี้ ตนเชื่อว่านายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ปฏิบัติตามกฎหมายเช่นเดียวกับตน
...
เมื่อถามว่า มองแนวทางที่กฤษฎีกาเสนอทางออกว่าให้ผู้ครอบครองที่ดินเปลี่ยนเป็นการเช่าแทนอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่ใช่หน้าที่ของกรมที่ดิน เพราะคำพิพากษาของศาลฎีการะบุว่าผูกพันเฉพาะกับคู่กรณี ไม่เกี่ยวกับกรมที่ดิน แต่ขณะนี้กรมที่ดินกำลังปฏิบัติตามคำสั่งของศาลปกครอง ซึ่งกรมที่ดินระบุว่า รฟท.ยังพิสูจน์สิทธิ์ไม่ได้ ซึ่งสิ่งที่ รฟท. อุทธรณ์ถือว่าถูกแล้ว
“การรถไฟก็ออกสิทธิ์เรื่องการเช่าไป เกี่ยวอะไรกับกรมที่ดิน ถ้าการรถไฟบอกว่าเป็นเจ้าของสิทธิ์ เอาสิทธิ์นี้ไปเช่าต่อให้ใคร ก็ออกไป ถ้าชาวบ้านยอมเช่าก็ยอมกันไป กรมที่ดินไม่เกี่ยว กรมที่ดินมีหน้าที่ว่า ตรงไหนที่มีเอกสารชัดเจนว่าเป็นของรัฐ ก็เพิกถอนทันที จะให้เพิกถอนใช่ไหม เช่นถ้าการรถไฟเป็นเจ้าของ ก็ต้องมีโฉนดหรือเอกสารสิทธิ์ มาชี้จุดได้เลย ถ้ากรมที่ดินบอกว่าใช่ ถึงเพิกถอนได้ กรมที่ดินเป็นกรรมการด้วยซ้ำ ไม่ใช่คู่ชก” นายอนุทิน กล่าว
เมื่อถามว่า แสดงว่าหากจะให้เช่าที่ต้องพิสูจน์สิทธิ์ก่อนใช่หรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า ถูกต้อง เพราะเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ซึ่งกรรมการของกรมที่ดินก็บอกให้ รฟท.มาพิสูจน์สิทธิ์ แต่ได้ข่าวว่าเอกสารที่นำมายังไม่ชัด ก็ไปทำให้ชัดแค่นี้เอง กรมที่ดินรอได้ เพราะไม่ใช่เจ้าของที่ เพราะเป็นเรื่องของ รฟท. และประชาชนที่อาศัยในจุดนั้น
นายอนุทิน กล่าวว่า ขอยกตัวอย่างว่าขณะนี้ เขาฟ้องร้องกันแค่ 35 ราย ที่ดินทั้งหมดมี 900 กว่าแปลง เอาให้ชัดก็ฟ้องร้องกันทีละแปลงเลย ถึงได้บอกว่าอย่าเอาการเมืองมาผูกกับเรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด เพราะมีตระกูลการเมืองถือครองที่ตรงนี้อยู่ 200 กว่าไร่ จาก 5,000 ไร่ ก็ต้องไปพิสูจน์สิทธิ์เอา
เมื่อถามว่า หากมีการพิสูจน์สิทธิ์ไปถึงสนามฟุตบอลและสนามแข่งรถ จะส่งผลอย่างไร นายอนุทิน กล่าวว่า ไม่มีปัญหา จะกินรวมไปถึงไหนก็ต้องยึดหมด หากพิสูจน์ได้ว่าเป็นของหลวง ซึ่งตนไม่มีทางเข้าไปอุ้ม ถามว่าตนอุ้มไหวหรอ กรณีอย่างนี้ไม่เคยคิดจะอุ้มอยู่แล้ว มีแต่อยากให้จบๆ ไป ทั้งนี้ ตนได้สอบถามไปยังอธิบดีกรมที่ดินแล้ว เรื่องนี้คงจบโดยเร็วไม่ได้ นอกจากจะฟ้องทีละคน
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสมชาย แสวงการ อดีตสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ยื่นหนังสือถึงนายกรัฐมนตรี ให้เพิกถอนกรรมสิทธิ์ที่ดินสนามกอล์ฟอัลไพน์ เกรงว่าจะถูกโยงเป็นประเด็นการเมืองหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องนี้คนที่ตัดสินใจคือปลัดกระทรวงมหาดไทย ซึ่งท่านได้มอบอำนาจให้รองปลัดกระทรวงท่านหนึ่ง เป็นผู้รับผิดชอบตรงนี้ ซึ่งท่านได้ยืนยันว่าทุกอย่างเป็นไปตามเนื้อผ้า ตรงไปตรงมา อธิบายได้ ขอถามว่าตนจะไปเอาคืนใคร เอาคืนตรงนี้เดี๋ยวก็โดนเอาคืนต่ออีก เท่าไหร่ก็ไม่จบ เพราะฉะนั้นอย่าไปโยงเรื่องการเมือง ซึ่งไม่ได้หรอก
เมื่อถามว่า จะกระทบความสัมพันธ์กับพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ นายอนุทิน กล่าวว่า เรื่องที่ว่าใครทำแบบนี้ ต้องโดนทำแบบนั้นกลับคืน ยืนยันว่าไม่เคยมีเรื่องนี้อยู่ในสมอง ไม่อย่างนั้นก็หมดสภาฯ แล้ว