ปิดฉากเอเปกวันสุดท้าย นายกฯขึ้นโชว์วิชันดึงชาติสมาชิกสร้างระบบการเงินในโลกยุคใหม่ ด้วย ศก.ดิจิทัล-AI แนะให้สิทธิพิเศษบัตรเดินทางนักธุรกิจเอเปก พร้อมดันเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก ตามปฏิญญากรุงเทพฯ ที่ประชุมสุดยอดผู้นำลงนามรับรอง 3 ฉบับ “ปฏิญญาผู้นำ-ถ้อยแถลงอิชมา-แผนงานลิมา” “อิ๊งค์” รำลึกเคยมาเอเปกกับพ่อเมื่อ 20 ปีก่อน ดันเงินหมื่น-ซอฟต์พาวเวอร์-ดึงเม็ดเงินลงทุนใหม่ๆกระตุ้นเศรษฐกิจ สั่งเตรียมการเจรจาเอฟทีเอไทย-เปรู รับปากหนุนเพิ่มทุนเรียนนอก พท.-ภท.ไปคนละทาง พ.ร.บ.ประชามติ “ทิม” โวอีก 9 ปีจะกลับมาเป็นนายกฯที่ดีกว่าเดิม เย้ยรัฐบาลอยู่ครบเทอมแต่ไร้ประโยชน์ แนะเตรียมรับมือ “ทรัมป์” “โรม” รู้ตัวว่าเสี่ยง ลั่นอันตรายมีคนไม่กี่คนกำกับประเทศ
น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ปิดฉากภารกิจเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเปก ครั้งที่ 31 ที่กรุงลิมา ประเทศเปรู วันสุดท้าย ขึ้นแสดงวิสัยทัศน์ดึงชาติสมาชิกร่วมสร้างระบบการเงินในโลกยุคใหม่ ด้วยเศรษฐกิจดิจิทัล และ AI พร้อมผลักดันเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก ตามปฏิญญากรุงเทพฯ หรือ BCG
นายกฯโชว์วิชันปิดฉากเวทีเอเปก
เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 16 พ.ย. (ตามเวลาท้องถิ่นช้ากว่าประเทศไทย 12 ชั่วโมง) ที่ห้อง Lima ชั้น 1 Lima Convention Center กรุงลิมา ประเทศเปรู น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เข้าร่วมการประชุมผู้นำภาคธุรกิจเอเปก (APEC CEO Summit) ครั้งที่ 31 เป็นวันสุดท้าย เป็นการประชุมผู้นำในรูปแบบ Retreat (APEC Economic Leaders’ Retreat) มีนางดินา เอร์ซิเลีย โบลัวร์เต เซการ์รา ประธานาธิบดีสาธารณรัฐเปรู เป็นประธาน น.ส.แพทองธารกล่าวแสดงวิสัยทัศน์ก่อนปิดประชุมว่า ขอบคุณกรรมการผู้จัดการของกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ที่นำเสนอข้อมูลเชิงลึกให้ทราบถึงแนวโน้มเศรษฐกิจในปัจจุบัน ไทยเชื่อว่าเอเปกเป็นเวทีสำคัญสร้างการมีส่วนร่วมเพื่อปลดล็อกศักยภาพทางเศรษฐกิจ มั่นใจสมาชิกจะสร้างเวทีการแข่งขันที่เท่าเทียมกัน และมีปัจจัยใหม่ๆส่งเสริมการค้า และการลงทุน ที่จะเป็นประโยชน์กับประชาชนทุกประเทศและโลก
...
แนะให้สิทธิพิเศษนักธุรกิจเอเปก
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า แนวคิดการสร้างความร่วมมือและก้าวไปสู่เป้าหมาย ได้แก่ 1.สร้างโอกาสทุกคนทำงานร่วมกันโดยไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง บริหารจัดการกับเศรษฐกิจในระบบที่ตกลงร่วมกันได้ ประเทศไทยยังมีแรงงานและธุรกิจขนาดเล็กมากกว่าครึ่งอยู่ในการทำงานนอกระบบ รัฐบาลไทยได้แก้ไขเพื่อสนับสนุนให้เกิดการทำงานในระบบเติบโตในทุกมิติ ด้วยการนำเทคโนโลยีดิจิทัล นวัตกรรมรวมถึง AI มาใช้ผ่านระบบการเงินดิจิทัลให้กลุ่มเปราะบางของไทยมีโอกาสทัดเทียมดำรงชีวิต มีเป้าหมายขจัดความยากจน นำ “Negative Income Tax” เป็นระบบฐานข้อมูลเพื่อจัดสรรประโยชน์จากรัฐที่เป็นธรรมมากที่สุด สมาชิกเอเปกควรเพิ่มความเชื่อมโยงทางกายภาพ และโครงสร้างพื้นฐานด้านดิจิทัลในภูมิภาค นอกจากส่งเสริมการค้าและการลงทุนกันแล้ว ยังส่งเสริมการติดต่อสื่อสารระหว่างประชาชนด้วยกันได้ง่าย โดยเฉพาะกลุ่มคนที่มีธุรกิจค้าขายผ่านออนไลน์ เอเปกควรจัดทำสิทธิพิเศษเป็นบัตรเดินทางนักธุรกิจเอเปก APEC Business Travel Card (ABTC) เพื่อเดินทางค้าขายกันมากขึ้น
ดัน FTAAP ตามปฏิญญากรุงเทพฯ
นายกฯกล่าวต่อว่า 2.ส่งเสริมการบูรณาการทางเศรษฐกิจในภูมิภาค มีเป้าหมายทำให้เขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก (FTAAP) เป็นรูปธรรม เพื่อส่งเสริมความยั่งยืนทางการค้า การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่าย เชื่อว่าการสร้างสิ่งใหม่ๆและพัฒนาในโลกการเงิน ที่เรียกว่า “สร้างสถาปัตยกรรมทางการเงิน” สมดุลและยืดหยุ่นมากขึ้น ช่วยให้เศรษฐกิจมีเสถียรภาพ 3.เอเปกต้องดำเนินการอย่างเร่งด่วนในการเข้าสู่เศรษฐกิจสีเขียวตามเป้าหมายที่เคยประชุมร่วมกันที่กรุงเทพฯ หรือ “BCG” โดยวางแผนการเพิ่มพลังงานสะอาด 20 กิกะวัตต์ภายใน 20 ปีข้างหน้า เพื่อให้สอดคล้องกับเป้าหมายปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ในปี 2065 เชื่อมั่นว่าเอเปกสามารถเป็นผู้นำในการสร้างอนาคตที่ยั่งยืนร่วมกันได้
รับรองเอกสารผลลัพธ์ทั้ง 3 ฉบับ
น.ส.แพทองธารกล่าวว่า แม้ยังมีสิ่งที่ต้องทำอีกมากในเอเปก แต่เชื่อว่าการประชุมในครั้งนี้จะทำให้เอเปกใกล้บรรลุผลในการทำงานร่วมกัน ใกล้ชิดประชาชนทุกประเทศมากขึ้น และเฝ้ารอความคืบหน้าต่างๆในการประชุมอีกครั้งที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพ ทั้งนี้ ที่ประชุมได้รับรองเอกสารผลลัพธ์ 3 ฉบับ ได้แก่ 1.ปฏิญญาผู้นำเขตเศรษฐกิจเอเปก2.ถ้อยแถลงอิชมา ว่าด้วยมุมมองใหม่ในการขับเคลื่อนเขตการค้าเสรีเอเชีย-แปซิฟิก และ 3.แผนงานลิมา เพื่อส่งเสริมการเปลี่ยนผ่านไปสู่เศรษฐกิจในระบบ และเศรษฐกิจโลกของเอเปก จากนั้น น.ส.แพทองธารพร้อมผู้นำชาติสมาชิกเอเปกร่วมถ่ายภาพหมู่เป็นที่ระลึก ในพิธีปิดการประชุมเอเปกครั้งที่ 31 อย่างเป็นทางการ ก่อนเดินทางกลับถึงท่าอากาศยานทหาร กองบิน 6 ดอนเมือง กทม. วันที่ 18 พ.ย. เวลา 11.00 น. (ตามเวลาประเทศไทย)
รำลึกเคยมาเอเปกกับพ่อ 20 ปีก่อน
ที่โรงแรม Swissotel Lima น.ส.แพทองธารให้สัมภาษณ์ถึงประสบการณ์การเข้าร่วมประชุมเอเปกว่า ครั้งนี้ถือเป็นการมาเอเปกครั้งที่ 2 ครั้งแรกเดินทางมากับนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในฐานะผู้ติดตามของนายกฯ เมื่อปี 2004 ปีนี้ 2024 ครบ 20 ปีพอดี กลับมาในฐานะผู้นำ ตื่นเต้นและแตกต่างจากตอนมากับคุณพ่อ เนื่องจากต้องเข้าใจรายละเอียดและหัวข้อการประชุม ต้องพูดคุยให้ครบทุกประเด็นที่เป็นประโยชน์กับประเทศไทย เพราะไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะได้พบเจอกับผู้นำมากมายขนาดนี้ รู้สึกเสียดายที่สมัยมาประชุมเอเปกเมื่อปี 2004 มีโอกาสจับมือกับผู้นำหลายคนแต่ไม่มีรูปถ่ายเลย เนื่องจากสมัยนั้นโทรศัพท์มือถือไม่เป็นแบบนี้ แต่ยังดีที่นักข่าวถ่ายภาพไว้ตอนที่ลงเครื่องกับคุณพ่อ
ดึงเม็ดเงินลงทุนนวัตกรรมใหม่ๆ
น.ส.แพทองธารกล่าวอีกว่า ภาพรวมการเข้าร่วมประชุมเอเปก ครั้งที่ 31 และการประชุมอื่นที่เกี่ยวข้อง มีการขับเคลื่อนการลงทุน ผลักดันให้เกิดการค้าเสรี หรือ FTA ขึ้น ส่งเสริมนวัตกรรมดิจิทัล และการเติบโตที่ยั่งยืน ทั้งหมดตรงกับนโยบายของไทย ส่วนการหารือกับสภาที่ปรึกษาทางธุรกิจเอเปก พูดคุยกับผู้นำและนักธุรกิจ อาทิ ด้านพลังงาน รถยนต์ไฟฟ้า และ AI เน้นย้ำว่าไทยรับการลงทุนสร้างเม็ดเงินใหม่ๆเข้าประเทศ โดยเน้นไปที่เทคโนโลยี AI Semiconductor และ Data center มีโอกาสพูดคุย 3 บริษัท ประกอบด้วย Tiktok, Microsoft และ Google เสมือนเป็นการต่อยอดให้มาลงทุนเพิ่มเติม ทำให้คนไทยเกิดอาชีพใหม่ๆ เกิดการจ้างงานใหม่ๆ โดยไทยต้องพัฒนาทุกด้านไปพร้อมๆ กัน ไม่ว่าจะเป็นแจกเงิน 1 หมื่นบาทรายใหม่ ซอฟต์พาวเวอร์ การลงทุน และการหาเม็ดเงิน เราสร้างความมั่นใจว่าไทยพร้อมแล้วที่จะมุ่งมั่นพัฒนาเศรษฐกิจ ให้ไทยเป็นศูนย์กลางด้านเกษตรกรรมอัจฉริยะ หรือ Smart farming อย่างแท้จริง
สั่งเตรียมการเจรจา FTAไทย–เปรู
นายกฯกล่าวว่า ส่วนการพบหารือทวิภาคีกับประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐเปรู ยืนยันว่าไทยพร้อมทำงานร่วมกัน โดยเฉพาะการเจรจาการค้าเสรี หรือ FTA ระหว่างไทย-เปรู เนื่องจากเปรูเพิ่งเปิดท่าเรือชางใคได้ไม่นานถือเป็นการเพิ่มโอกาสส่งสินค้าเกษตรไทยได้มาก และยังเชื่อมโยงแลนด์บริดจ์ไทยได้อีกด้วย ส่วนเรื่องซอฟต์พาวเวอร์ เปรูนำขนอัลปากามาทำเป็นเสื้อ ขณะที่ไทยมีผ้าไหม ต้องหาทางว่าจะทำร่วมกันอย่างไรดี เพื่อให้เกิดเนื้อผ้าพิเศษขึ้นมา เรื่องนี้คณะกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติจะนำไปพิจารณากันต่อ เพื่อนำซอฟต์พาวเวอร์ทั้ง 2 ประเทศมารวมกัน ให้คน สามารถเข้าถึง เข้าใจได้ง่าย และช่วยส่งเสริมเศรษฐกิจได้อีกทางหนึ่ง
จีนร่วมมือต้านอาชญากรรมข้ามชาติ
นายกฯกล่าวต่อว่า สำหรับการหารือทวิภาคีกับนายสี จิ้นผิง ประธานาธิบดีสาธารณรัฐประชาชนจีน พูดคุยเรื่องความร่วมมือกัน เพราะในปีหน้าไทย-จีนจะมีงานเฉลิมฉลองความสัมพันธ์ครบรอบ 50 ปี จึงได้อัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุ หรือพระเขี้ยวแก้ว มาประดิษฐานไว้ที่ไทย เพื่อให้พี่น้องคนไทยสักการ บูชา ขณะที่จีนจะมอบแพนด้ายักษ์มาให้ไทยอีกครั้ง โอกาสนี้ได้กล่าวชื่นชมจีนเรื่องการลดความยากจนได้สำเร็จดีมาก เราพร้อมเรียนรู้โมเดลของจีน และขอให้เอกชนจีนเข้ามาลงทุนในไทยเพิ่มขึ้น ซึ่งจีนยืนยันจะส่งเสริมความร่วมมือต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติ Online scam การหลอกทางออนไลน์ระหว่างกัน และจะสนับสนุนไทยเข้า BRICS
หนุนเพิ่มทุนเรียนต่อนอกด้าน AI
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า น.ส.แพทองธารยังมีโอกาสพบกับตัวแทนนักเรียนไทยที่เป็นอาสาสมัครและมาช่วยในการประชุมเอเปกครั้งนี้ อยากให้รัฐบาลช่วยเรื่องทุนการศึกษา ตรงกับนโยบายรัฐบาลที่อยากให้เด็กไทยมีทุนการศึกษามากขึ้น พร้อมกับเน้นย้ำอยากให้ศึกษาต่อในสาขาธุรกิจและเทคโนโลยีแห่งอนาคต AI ให้มากขึ้น ไม่ใช่แค่การบริหารธุรกิจและการตลาด เพราะประเทศไทยมีดีอยู่แล้ว เรื่องทุนการศึกษาต่อต่างประเทศจะชัดเจนเร็วๆนี้แน่นอน นอกจากนี้นายกฯและคณะยังใช้เวลาหลังเสร็จสิ้นภารกิจเยี่ยมชมซุปเปอร์มาร์เกตท้องถิ่น เพื่อดูสินค้าเกษตรและสินค้าพื้นถิ่นเปรู เพื่อนำไปพัฒนาสินค้าเกษตรไทย โดยนายกฯเลือกซื้อผลไม้สดให้ความสนใจ “ตูน่า” ที่เป็นลูกของต้นกระบองเพชร มีรสชาติหวานหอมเหมือนแก้วมังกรผสมกับแตงโม น่านำไปปลูกในไทยเพราะมีอากาศร้อนเหมือนกัน พร้อมสอบถามราคาแอปเปิ้ลที่ส่วนใหญ่นำเข้าจากชิลี มีราคาถูก นายกฯยังสนใจมันฝรั่งเปรูที่มีมากกว่า 3 พันชนิด นำมาแปรรูป ที่ได้รับความนิยมมากที่สุดมันฝรั่งทอดกรอบ รวมถึงช็อกโกแลตที่ขึ้นชื่อ
พท.ห่วงประชามติผ่านไปรษณีย์
ขณะที่นายประยุทธ์ ศิริพาณิชย์ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย รองประธานกรรมาธิการร่วมเพื่อพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การออกเสียงประชามติ กล่าวถึงการประชุม กมธ.วันที่ 20 พ.ย. ที่มีวาระเชิญบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด และคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มาให้ข้อมูลความเป็นไปได้ในการทำประชามติผ่านทางไปรษณีย์ว่า รูปแบบดังกล่าวเคยใช้ที่ประเทศอินโดนีเซีย แต่หากนำมาใช้กับประเทศไทยจะเป็นไปได้หรือไม่ เพราะต้องออกกฎหมายรองรับให้ลงคะแนนทางไปรษณีย์ได้ ยังไม่รู้กฎหมายประชามติจะแก้ไขเสร็จเมื่อใด แต่สิ่งที่น่าเป็นห่วงคือเรื่องการยืนยันตัวตนของผู้ลงคะแนนทางไปรษณีย์ จะพิสูจน์ได้อย่างไรว่าคือผู้มีสิทธิลงคะแนนตัวจริง ไม่ใช่ให้คนอื่นลงคะแนนแทน ดูแล้วพิสูจน์ลำบาก แต่ต้องฟังข้อมูลจากบริษัท ไปรษณีย์ไทย จำกัด ว่าจะมีวิธีการอย่างไร
ไม่เอาด้วยเสียงข้างมากชั้นครึ่ง
นายประยุทธ์กล่าวว่า ส่วนข้อเสนอประชามติชั้นครึ่ง เพื่อรอมชอมระหว่าง สส.กับ สว.นั้น ส่วนตัวไม่เห็นด้วย เพราะไม่ต่างจากการใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น แค่ลดเงื่อนไขเรื่องคะแนนเสียงเห็นชอบการทำประชามติ มาเป็นใช้เสียงข้างมาก จากเดิมต้องมีเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิออกเสียง เป็นแค่การลดเงื่อนไขลงมาเท่านั้น แต่หลักการเหมือนเดิม พรรคเพื่อไทยยืนยันหลักการเสียงข้างมากชั้นเดียวทำประชามติเป็นแนวทางดีที่สุด ผู้สื่อข่าวถามว่าหาก สส.ยังยืนยันหลักการเสียงข้างมากชั้นเดียว ยอมหักกับ สว. จะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญมีปัญหาหรือไม่ เพราะต้องมีเสียง สว.ให้การรับรอง 1 ใน 3 ทั้งในวาระ 1 และวาระ 3 นายประยุทธ์ตอบว่า อย่าเพิ่งมองไปถึงขั้นนั้น อยากให้มองเป็นเรื่องๆไป การพิจารณากฎหมายแต่ละฉบับไม่ควรมาผูกโยงกัน หรือเอามาเป็นเงื่อนไขผูกใจเจ็บ ไม่ใช่ตรรกะของการแก้กฎหมาย
“หนู” ย้ำจุดยืนประชามติสองชั้น
ด้านนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรคภูมิใจไทย (ภท.) กล่าวว่า จุดยืนเรื่องนิรโทษกรรมของเราชัดเจนคือไม่มีมาตรา 112 เป็นคนหนึ่งที่ไม่ทนคนที่มาดูถูกดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ที่คนไทยเทิดทูน ส่วนกรณีร่าง พ.ร.บ.ประชามติ พรรคภูมิใจไทยจำเป็นต้องคงใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น เพื่อให้เกิดความระมัดระวังอย่างยิ่งยวด ถ่วงดุลว่ายากดี ที่ทำให้เกิดความชัดเจนว่าถ้ามีอะไรที่ต้องทำประชามติกำหนดอนาคตของประเทศ ประชามติไม่ใช่แค่แก้รัฐธรรมนูญ ยังมีเรื่องของสนธิสัญญาต่างๆ ดินแดน ข้อตกลง ถ้าต้องใช้ประชามติก็เหมือนมีหลังพิง คนที่ตัดสินใจตกลงกับคู่กรณีหรือคนต่างชาติมีความมั่นใจเต็มที่ เปิดเจรจาโดยไม่เสียเปรียบ
ปัดไม่เกี่ยวข้อง สว.สายน้ำเงิน
เมื่อถามว่ารัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่จะยกร่างโดยสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) มีโอกาสเสร็จทันในรัฐบาลชุดนี้แค่ไหน นายอนุทินตอบว่า พรรคภูมิใจไทยเห็นด้วยที่ให้มี ส.ส.ร. พูดได้เต็มปากรัฐธรรมนูญมาจากประชาชน แต่ไม่ใช่อยากแก้เมื่อไหร่ก็แก้ ไม่พอใจใครก็แก้ คนการเมืองไม่พอใจก็แก้ แบบนี้ไม่เห็นด้วย แก้รัฐธรรมนูญต้องทำเพื่อประโยชน์ประเทศและประชาชน ไม่ใช่เพื่อพรรคการเมืองจะได้ทำอะไรสะดวกขึ้น บริหารราชการแผ่นดินและมีอำนาจมากขึ้น มีการตรวจสอบน้อยลง เมื่อถามว่าจุดยืนภูมิใจไทยตรงกับ สว.เสียงข้างมากที่สนับสนุนทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญใช้เกณฑ์เสียงข้างมาก 2 ชั้น จนถูกตั้งข้อสังเกตว่า สว.สายสีน้ำเงิน นายอนุทินตอบว่า ต้องตัดตอน ตนรับผิดชอบสส.พรรคภูมิใจไทย รับผิดชอบรัฐมนตรีใน 4 กระทรวงที่เป็นโควตาพรรคภูมิใจไทย ส่วนความเห็นทางการเมือง การแก้รัฐธรรมนูญที่อาจไปสอดคล้องตรงกับใคร อาจเป็นเรื่องที่ตรงกันพอดี
ขู่นักร้องเลอะเทอะระวังโดนคดี
วันเดียวกัน นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ ประธาน สส.พรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ปราศรัยบนเวทีหาเสียงนายก อบจ.อุดรธานี ประเมินเลือกตั้ง สส.ครั้งหน้า พรรคเพื่อไทยจะได้ สส.ไม่ต่ำกว่า 200 เสียงว่า ไม่ใช่แค่นายทักษิณที่มองแบบนั้น ส่วนตัวก็มองว่าเกิน 200 เสียงเช่นกัน ขณะนี้รัฐบาลทำให้ราคาพืชผลการเกษตรขยับขึ้น เช่น ข้าวหอมมะลิ 12-13 บาท ยางก้อนถ้วยกว่า 30 บาทต่อกิโลกรัม จากเดิมอยู่ที่ 16-17 บาทต่อกิโลกรัม ราคาขึ้นเท่าตัว ส่งผลให้เกษตรกรชาวสวนผู้ปลูกยางมีความสุขถ้วนหน้า ขณะที่โครงการแจกเงินดิจิทัล 1 หมื่นบาทกำลังเดินหน้าด้วยดี รวมถึงการเอาจริงเอาจังปราบปรามยาเสพติด ปัจจัยเหล่านี้ถามว่าทำไมจะไม่ได้เกิน 200 เสียง ส่วนพวกนักร้องทั้งหลายที่พากันชักดิ้นชักงอเคลื่อนไหว บางคนร้องเป็นประโยชน์ บางคนร้องเพื่อให้ได้อะไรจากใคร หรือทำเพื่อใคร ไม่เหมาะสมประชาชนดูออกเห็นมีหลายคนโดนคดีกันเยอะ
พท.ฟุ้งกระแสมากวาด สส. 200 ที่
นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.กลาโหม แกนนำพรรคเพื่อไทย กล่าวว่า นายทักษิณพูดในฐานะนักวิชาการและผู้มีประสบการณ์การเมือง ว่าหากรัฐบาลเดินหน้าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตสำเร็จมีโอกาสได้ไม่ต่ำกว่า 200 เสียง ขึ้นอยู่กับรัฐบาลจะดำเนินนโยบายประสบความสำเร็จมากน้อยแค่ไหน ที่ผ่านมาโครงการดิจิทัลวอลเล็ตมีแรงต้านมาตลอดใช้เวลาอยู่นานกับการปรับ สุดท้ายดำเนินโครงการไปได้ 2 รอบ หลังจากนี้จะดำเนินการครบแน่นอน รวมถึงมาตรการช่วยเหลือเอสเอ็มอี การปราบยาเสพติดอย่างจริงจัง หากทำสำเร็จมีโอกาสได้เกิน 200 เสียงแน่นอน ดูจากกระแสของรัฐบาลทั้งการเลือกตั้งสนามท้องถิ่นเราชนะมาตลอด ประชาชนเริ่มเข้าใจสภาพความเป็นจริงมากขึ้น ไม่ได้ฟังแต่กระแสที่ไม่ตรงกับข้อเท็จจริง การเคลื่อนไหวของนายทักษิณแสดงให้เห็นว่าประชาชนหลายพื้นที่ยังมีความชื่นชม เชื่อมั่นและศรัทธา
คนไม่วางใจรัฐบาลเจรจา MOU 44
อีกเรื่อง นิด้าโพลเปิดผลสำรวจของประชาชน อายุ 18 ปีขึ้นไป รวม 1,310 คน หัวข้อ “มีใครเข้าใจประเด็นโต้แย้งเรื่อง MOU 44 และเกาะกูดบ้าง” พบว่าส่วนใหญ่ร้อยละ 58.86 ระบุว่าไม่เข้าใจเลย มีแค่ร้อยละ 6.18 ที่เข้าใจมาก เมื่อสอบถามผู้ที่ระบุว่าเข้าใจมากและค่อนข้างเข้าใจ เกี่ยวกับความไว้วางใจต่อรัฐบาลว่าจะสามารถปกป้องผลประโยชน์ของชาติได้หากมีการเจรจา MOU 44 กับรัฐบาลกัมพูชา พบว่าร้อยละ 33.68 ไม่ไว้วางใจเลย รองลงมาไม่ค่อยไว้วางใจ ค่อนข้างไว้วางใจ มีร้อยละ 12.50 ระบุ ไว้วางใจมาก เมื่อถามถึงการมีแนวคิดความเป็น “ชาตินิยม” ของประชาชน ร้อยละ 40.15 ระบุว่ามีความเป็นชาตินิยมมาก รองลงมาร้อยละ 28.24 ระบุว่าความเป็นชาตินิยมขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ร้อยละ 15.04 ค่อนข้างมีความเป็นชาตินิยม ร้อยละ 7.33 ไม่มีความเป็นชาตินิยมเลย
“ทิม” โวอีก 9 ปี กลับมาเป็นนายกฯ
ที่ตลาดนัดอำเภอเพ็ญ จ.อุดรธานี นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล นำทีมช่วยหาเสียงให้นายคณิศร ขุริรัง ผู้สมัครนายก อบจ.อุดรธานี ปราศัยเป็นวันที่ 3 นายพิธากล่าวว่า อีก 9 ปี จะกลับมาเป็นนายกฯที่ดีกว่าเดิม หลังโดนยุบพรรคตัดสิทธิก็ไปหาความรู้ที่ต่างประเทศ ไม่เสียเวลาเปล่า อยู่เป็น-เย็นพอ-รอได้ ถามนายคณิศรว่ามีเป้าหมายอะไรในการบริหาร จ.อุดรธานี ทราบว่าอยากให้อุดรธานีเป็นเมืองที่เต็มไปด้วยโอกาสทางเศรษฐกิจ และแรงงานที่ทำงานอยู่ต่างประเทศได้กลับบ้าน ให้เศรษฐกิจกลับมาแข็งแรงและมีสาธารณสุขที่ดี
เย้ยอยู่ครบเทอมแต่ไร้ประโยชน์
ต่อมานายพิธาให้สัมภาษณ์กรณีนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตั้งตำแหน่งให้ตัวเองว่า สทร.หรือเสือกทุกเรื่อง ว่า สำหรับตนนั้นเป็น “ผชส.” ที่หมายถึงผู้ช่วยหาเสียง ตอบตรงไปตรงมา แต่ของนายทักษิณไม่แน่ใจว่าหมายถึงอะไร ตำแหน่งใครตำแหน่งมัน ที่นายทักษิณวิเคราะห์ว่ารัฐบาล น.ส.แพทองธารจะอยู่ครบเทอม คนที่เป็นรัฐบาลทุกคนวิเคราะห์แบบนี้ทั้งนั้น แต่หากนำสถิติมาพูดกันค่าเฉลี่ยอายุรัฐบาลที่ไม่ใช่รัฐบาลทหาร น่าจะอยู่ที่ระยะ 1 ปีกว่าถึงปี หากครั้งนี้มั่นใจก็แสดงความยินดีด้วย แต่ต้องมีแผนงานตอบสนองประชาชน หากอยู่ครบเทอมแต่ไม่มีประโยชน์อะไรให้ประชาชน ไม่รู้จะเป็นรัฐบาลไปทำไม ในพรรคร่วมรัฐบาลเห็นว่ามีความเห็นต่างหลากหลายเรื่องทั้งเรื่องเขากระโดง หวังว่ารัฐบาลจะพูดคุยและบริหารความต่างเพื่อมีสมาธิแก้ไขปัญหาให้ประชาชนได้
แนะนายกฯเตรียมรับมือ “ทรัมป์”
นายพิธายังกล่าวถึงบทบาทนายกฯในการเข้าร่วมประชุมสุดยอดผู้นำเอเปกว่า เป็นโอกาสที่ดีของประเทศไทย แต่ยังมีความท้าทายที่ต้องระวังเรื่องการค้าของไทยขาดดุลกับสหรัฐอเมริกา รัฐบาลต้องเตรียมตัวไว้ นายโดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนใหม่ น่าจะคิดเกี่ยวกับเรื่องทวิภาคีมากกว่าพหุภาคี หากทางสหรัฐฯเลือกแบบทวิภาคี ต้องถามตัวเองว่าไทยมีอะไรที่ทำให้สหรัฐฯให้ความสนใจ และวางตัวท่ามกลางความขัดแย้งทั้งการเมืองไต้หวัน สงครามตะวันออกกลาง ถ้าวางแผนเป็นระบบเชื่อว่าน่าจะพอเห็นภาพต้องทำอย่างไรบ้าง เพื่อเป็นประโยชน์กับคนไทยมากที่สุด และเป็นโทษกับเอกชนไทยน้อยที่สุด
“โรม” รู้ว่าเสี่ยงมีราคาที่ต้องจ่าย
นายรังสิมันต์ โรม รองหัวหน้าพรรคประชาชน (ปชน.) กล่าวถึงความคืบหน้าการพิจารณาคดี 44 สส.อดีตพรรคก้าวไกล ลงชื่อแก้ไขประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ที่อยู่ใน ป.ป.ช.ว่า ยังคงติดตามการใช้อำนาจของ ป.ป.ช. เป็นไปโดยชอบและไม่เลือกปฏิบัติหรือไม่ เมื่อถามว่า 44 สส.ที่ติดคดีนี้ลดบทบาทตัวเองลง เพราะรอดูผลคดีหรือไม่ นายรังสิมันต์ตอบว่า ไม่น่าเกี่ยวกัน พวกเราทำหน้าที่รู้อยู่แล้วว่าการเป็น สส.พรรค ปชน.มันไม่ง่าย มีหอกดาบที่รอคอยอยู่ เราเลือกเดินแบบนี้จะแก้ปัญหาโครงสร้างทางการเมือง ต้องสะเทือนถึงผู้มีอำนาจอย่างไร และผู้มีอำนาจคงไม่แฮปปี้กับเรา คนกลุ่มนั้นที่ได้รับประโยชน์จากโครงสร้างแบบนี้พยายามปกป้องผลประโยชน์ของตัวเอง และพร้อมทำทุกอย่างโดยไม่ได้สนใจระบบกฎหมาย และราคาของระบอบประชาธิปไตยที่ต้องจ่าย ยอมรับว่าเรามาสู้ในรูปแบบนี้มีความเสี่ยงสูญเสียสถานะทางการเมือง การดำเนินคดี
อันตรายคนไม่กี่คนกำกับประเทศ
นายรังสิมันต์กล่าวต่อว่า ตลกขนาดไหนเราแก้กฎหมายเป็นอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ทุกคนรู้แต่กลับกลายเป็นว่ามีการดำเนินคดีกับคนที่ไปแก้กฎหมาย ถามว่าเป็นการทุจริตคอร์รัปชันหรือไม่ คิดว่าไม่ใช่เลย คงต้องรอดูบรรทัดฐานต่อไป สุดท้ายการแก้กฎหมายคงไม่ได้อยู่ในอำนาจของฝ่ายนิติบัญญัติแล้ว คงอยู่ในมือของผู้มีอำนาจไม่กี่คนที่กุมดาบประหารชีวิตนักการเมืองที่ประชาชนเลือกมา “คิดว่าประเทศแบบนั้นเป็นประเทศที่อันตราย ที่จะนำไปสู่วิกฤติรุนแรงมากยิ่งขึ้น การทำหน้าที่ของเราทำตรงไปตรงมา สุดท้ายเสียงส่วนใหญ่ในสภาฯอาจโหวตไม่เห็นชอบ หรือเห็นชอบก็ได้ มันเป็นวิถีระบอบประชาธิปไตยวิถีของสภา ซึ่งเป็นเรื่องปกติ”
อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่