ประกาศเสียงดังฟังชัดไปแล้ว “ทั้งพ่อ–ทั้งลูก” ว่าต้องการให้รัฐบาลอยู่ครบเทอมแล้วไปเลือกตั้งกันใหม่เพื่อจะได้ทำงานให้เป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้อย่างต่อเนื่อง
“แพทองธาร ชินวัตร” นายกรัฐมนตรี
“ทักษิณ ชินวัตร” พ่อนายกรัฐมนตรี
ตอกย้ำในคีย์เดียวกันเป๊ะ...
ก็แน่ล่ะเป็นรัฐบาลยาวๆมันก็ดีทั้งนั้นเพราะนักการเมืองไม่ว่าพรรคไหนไม่มีใครชอบให้เลือกตั้งบ่อยๆ เพราะมันมีค่าใช้จ่ายเยอะ
เสี่ยงที่จะสอบตกและไม่มีอำนาจรัฐอยู่ในมือ
ยิ่งเป็นแกนนำรัฐบาลมีตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็ยิ่งต้องทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาสภาพนี้ไปให้ได้นานที่สุด
หากไม่มีปัญหาหรืออุบัติเหตุแทรก
ดังนั้น “ทักษิณ” จึงมีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องทำทุกวิถีทางเพื่อให้รัฐบาลชุดนี้อยู่จนครบเทอมไปให้ตลอดรอดฝั่ง
พยายามที่จะช่วยทุกด้านทั้งด้านนโยบาย การแก้ปัญหาความขัดแย้ง การสร้างคะแนนนิยม รวมถึงยอมเป็นเบี้ยล่างในบางครั้งก็ต้องทำ
ปัญหาของรัฐบาลชุดนี้เรื่องใหญ่สุดน่าจะเป็นเรื่อง “เศรษฐกิจ” และแก้ไขได้ยากที่สุด แม้ “ทักษิณ” ประกาศว่าต้นปีหน้าเศรษฐกิจดีแน่
แต่ในความเป็นจริงนั้นไม่สามารถที่จะยืนยันได้ว่าจะเป็นเช่นนั้นได้ เพราะไม่ใช่แต่ปัจจัยภายในเท่านั้นแต่ปัจจัยภายนอกก็มีส่วนสำคัญ
เวลานี้ประเทศไทยเหลือพื้นที่การคลังแค่ 3.3 ล้านล้านบาทเท่านั้น
หมายความว่ามีเงินที่จะจับจ่ายใช้สอยหรือนำมาลงทุนได้เพียงแค่นี้เพราะภาวะหนี้สินติดเพดานแล้วจะไปกู้อีกก็ลำบาก
เมื่อมีเม็ดเงินน้อยจะคิดทำอะไรก็ค่อนข้างจะยากเพราะสภาพเศรษฐกิจโดยรวมของประเทศไม่ดีมันก็เลยถ่วงกันไปหมด
...
ที่ประกาศจะเพิ่มเงินเดือนเป็น 2.3 หมื่นบาทต่อเดือนสำหรับผู้เริ่มปฏิบัติงานขั้นต้น หรือการขึ้นค่าแรง 400 บาท
ก็ยังทำได้ยาก!
รัฐบาลประกาศว่านโยบายแจกเงินเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจเฟส 2 กำลังจะเริ่มแล้ว โดยกำหนดให้ผู้สูงอายุวัย 60 ปี
ก็ทำได้แค่นี้และคงไม่ได้กระตุ้นได้มากนัก จะได้ก็คะแนนนิยมเพิ่มขึ้นเท่านั้น
เพราะนับแต่ประกาศนโยบาย “ดิจิทัลวอลเล็ต” มาจนถึงวันนี้ก็ทำได้อย่างที่ทำและล่าช้าจนยอมรับเองว่า “ได้เท่าไรช้าไปก็ยังดีกว่าไม่ได้”
นี่ไม่ใช่เพราะใครที่ไหนกลั่นแกล้งแต่เป็นเพราะสภาพการเงินการคลังมันมากำหนดทำให้ไม่สามารถดำเนินการได้อย่างที่ประกาศไว้
นี่กำลังรอดูว่านโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจจะมีอะไรให้น่าตื่นเต้นบ้าง ต้องรอให้นายกรัฐมนตรีเดินทางกลับจากประชุมเอเปกที่เปรู กลับมาเสียก่อน
นั่นเป็นมุมมองว่าด้วยเรื่องเศรษฐกิจ...
แต่อีกมุมมองในความเป็นไปของรัฐบาลก็ยุ่งไม่ใช่น้อยเพราะเกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างพรรคแกนนำกับพรรคร่วมรัฐบาล
แม้จะปฏิเสธว่าไม่มีอะไร
แต่ความจริงแล้วมันมีอะไร อย่างกรณีที่ดินที่เขากระโดง บุรีรัมย์ ซึ่งการรถไฟฯที่กำลังไล่ล่ากรมที่ดินให้คืนที่ดินที่เอกชนยึดครองคืน
เป็นปัญหาระหว่าง “เพื่อไทย” กับ “ภูมิใจไทย”
หากไม่ยอมคืนก็จะเกิดความบาดหมางแน่
มีทางเดียวก็คือต้องยอมคืน แต่จะมีฝ่ายที่เสียหน้าเช่นกัน!
"สายล่อฟ้า"
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม