สภาพอากาศเมืองไทย กรมอุตุนิยมวิทยาประกาศเข้าฤดูหนาวอย่างเป็นทางการมากว่าครึ่งเดือนเข้าไปแล้ว แต่แนวโน้มก็อย่างที่ชาวบ้านร้านตลาดเหงื่อไหลไคลย้อย ตั้งคำถามกันขำๆ
ยิงมุกอำกันตลกๆจะหนาวกี่โมงช่วยบอกด้วย
เพราะแทบจะไม่รู้สึกถึงความเย็น ลมหนาวแค่พัดมาแผ่วๆให้ดีใจไม่ทันไร ก็ร้อนอบอ้าว แยกไม่ออกฤดูร้อน ฤดูหนาว หรือหน้าฝน บางวันมาครบทั้ง 3 ฤดู รับรู้ได้ถึงภาวะอากาศแปรปรวนจากวิกฤติ “โลกเดือด”
อากาศหนาวไม่มาตามนัด แต่ที่มาตรงเวลาเป๋งก็คือฝุ่นควันพิษ PM 2.5
แถมมาเร็วกว่าทุกปี แบบที่คนกรุงเทพฯเข้าใจผิดคิดว่าเป็นหมอกเหมันตฤดู แต่ของจริงกลายเป็นฝุ่นควันพิษมรณะ ที่สถานีตรวจอากาศมาตรฐาน GISDA รายงานตัวเลขทะลักเกินค่ามาตรฐานทั้ง 54 เขตทั่ว กทม.
ระดับ “สีส้ม” สัญญาณอันตรายต่อสุขภาพประชาชน
เตือนซีเรียสให้คนที่มีกิจกรรมกลางแจ้งควรต้องใส่หน้ากากอนามัยที่มีประสิทธิภาพกรองฝุ่นควันพิษมรณะปกคลุมเมือง
เสี่ยงโรคระบบทางเดินหายใจ หนักถึงขั้นมะเร็งปอด
แค่ต้นเดือนพฤศจิกายน จุดสีส้มยังเต็มพรึบทั่วกรุงเทพฯ นั่นก็ไม่ต้องนึกถึงช่วงวิกฤติฝุ่นควันพิษจะหนักหนาสาหัสสุดในเดือนกุมภาพันธ์–มีนาคม ต้นปีหน้า
หลับตา มโนภาพล่วงหน้ากันได้ ฉากอึมครึม กทม.และหัวเมืองใหญ่ ภาคเหนือ ภาคกลาง หนีไม่พ้นตกอยู่ในม่านหมอกมรณะ จากควันไอเสียรถติดบนท้องถนน ควันจากไฟป่า และการเผาป่าทำไร่เกษตรในภาคเหนือ ภาคอีสาน รวมทั้งควันที่ลอยข้ามมาจากฝั่งประเทศเพื่อนบ้าน
สภาพการณ์ปัญหายกระดับเป็น “วิกฤติประจำ ฤดู–ภัยพิบัติประจำถิ่น”
ไม่มีทางเบรกได้ อย่างดีก็แค่ตั้งรับโจทย์สถานการณ์ ตามฉากซ้ำๆเหมือนละครฉายรีรัน PM 2.5 จะกระตุ้นอารมณ์ผู้คนหงุดหงิด พานกดดันรัฐบาลให้แก้ปัญหาซ้ำซาก วิ่งกลบกระแสฝุ่นพิษ เคลียร์โจทย์หินกันฝุ่นตลบ และกระแสจะไหลลามกระทบปมเศรษฐกิจปากท้อง
...
ผูกเป็นเกณฑ์ชี้วัดตัดคะแนนสอบรัฐบาลผสมเพื่อไทย
สภาพฝุ่น PM 2.5 เบียดปาดหน้าอากาศหนาว มลภาวะคละเคล้ากันพอดีกับบรรยากาศการเมืองที่กำลังฝุ่นตลบอบอวล
ตามจังหวะ “ศูนย์กลางจักรวาล” หมุนตัวแรงๆ แกนหลักของพรรคเพื่อไทยอย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯในตำนาน ขยับกลับมาโผล่หน้าฉากหลังจาก “ก้มต่ำ” หลบซุ่มโป่งอยู่พักใหญ่
สไตล์ “ชะโดยักษ์” จำศีลได้ไม่นาน ต้องโผล่ขึ้นมาล่อเป้า “ฉมวก”
กระตุกแรงกระเพื่อมน้ำบาน โดยจังหวะตีธงส่งสัญญาณ “ปาร์ตี้มาม่า” ลีลา “หน้าตาย” ตอบคำถามสื่อแบบพร้อมมีเรื่องกับขบวนการจับผิด เคลียร์คิวเรียกขาใหญ่พรรคร่วมรัฐบาลเข้าพบในคฤหาสน์จันทร์ส่องหล้า
อาการห้าวเป้ง พร้อมบวก ฟอร์ม “นายใหญ่” คนเดิม
ตั้งท่าท้ารบ ทั้งๆที่สถานการณ์กำลัง “ติดบ่วง” โดนปักชนักแหลมคมเงี่ยงปม “ครอบงำ” แต่เลือกยังสวนหมัด ประชด ประชัน ไม่สนกระแส ไม่แคร์สื่อ ไม่ยี่หระกับข้อหา “แทรกแซง” การจัดรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ผู้นำคนสุดท้องตระกูลชิน
“ทักษิณ” ก็คือ “ทักษิณ” ถอดเกียร์ถอยทิ้ง
อารมณ์ “ลำพอง” ภาษาแบบที่นายวิโรจน์ ลักขณาอดิศร สส.บัญชีรายชื่อ ตัวจี๊ดค่ายประชาชน ได้ทีย้อนเหลี่ยม อ่านทะลุไต๋ “นายใหญ่” คงมั่นอกมั่นใจว่า “รอบนี้ถือตั๋ว” อิง “เส้นใหญ่” จากมือที่มองไม่เห็นในฝั่งอำนาจอนุรักษ์นิยม
เลยไม่สน ทั้งๆตอบแบบให้เกียรติประชาชนมากกว่านี้ ก็ทำได้
ณ จุดที่ “ทักษิณ” ฮึกเหิมเต็มอัตรา แรงชนิดที่เครื่องโบอิ้ง 747 ลำยักษ์ของการบินไทยยังฉุดไม่อยู่
จังหวะตีธงติดดาบประจัญบานในสมรภูมินิติสงคราม ควบคู่ไปพร้อมๆกับการเปิดเกมรุกสนามเลือกตั้ง ชิงฐานการเมือง ยุทธการกดปุ่มลูกหาบเบิ้ลเครื่องรถแห่ใส่เสื้อแดง แขวนกระดิ่ง วิ่งรอกหาเสียงช่วยคนของพรรคเพื่อไทยในเวทีเลือกตั้งนายก อบจ.อุดรธานี
เคาะสนิมขึ้นเวทีปราศรัยในรอบเกือบ 20 ปี ร่ายกลอนพาไปไม่ยั้ง
แบบที่นักข่าวฟังแล้วไม่มีตรงไหนที่พูดถึงเนื้องาน อบจ.อุดรธานี แกะคำต่อคำ “นายใหญ่” ฉวยจังหวะการเมือง เน้นไปที่การฉายภาพการเมืองใหญ่ ฉวยโอกาสเคลียร์ใจ ฟื้นอดีต “เมืองหลวงคนเสื้อแดง” แต่ไม่มีตรงไหนที่ “นายใหญ่” สารภาพวีรกรรมหักขั้วประชาธิปไตยจูบปากทหารเฒ่าฝั่งอำนาจอนุรักษ์นิยม
แต่กลายเป็นจังหวะหักหัวเลี้ยวยูเทิร์นร่วมขบวนพิทักษ์ “มาตรา 112”
ถีบ “ไพร่หมื่นล้าน” นายธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หัวขบวนกองทัพส้ม อารมณ์โชว์พาว เตือนสั่งสอนเพื่อนรุ่นน้อง อย่ามุทะลุพังโครงสร้างอำนาจประเทศไทย
“ทักษิณ” เด้งเชือก โดดเดี่ยวค่ายส้มเป็นตัวอันตรายสถาบัน
เลยโดน “ไพร่หมื่นล้าน” สวนกลับแบบนิ่มๆ ไม่เคยคุยกับ “นายใหญ่” จันทร์ส่องหล้าในเรื่องของการแก้ไขมาตรา 112 แต่พูดถึงเชิงโครงสร้างที่ต้องการให้สังคมกล้ายอมรับปัญหาแล้วค่อยๆแก้ไข การเอามาตรา 112 เป็นข้ออ้าง ทั้งๆตัวของนายทักษิณเองน่าจะรู้ดีเหตุผลที่ดีลล่ม พรรคก้าวไกลไม่ได้ร่วมพรรคเพื่อไทยเพราะอะไร
แทนที่จะร่วมกันแก้ปัญหา แต่นายทักษิณเลือกจะเป็นส่วนหนึ่งของปัญหา ก็ปะผุประเทศไทยกันต่อไป
“นายใหญ่” ถีบส่ง “ไพร่หมื่นล้าน” โชว์ตัวอารักขามาตรา 112
นั่นหมายถึงจุดแตกแยก นับจากจุดนี้ไป ระบอบ “ทักษิณ” กับแนวร่วมคนรุ่นใหม่กองทัพส้มอยู่ในเส้นทางคู่ขนาน โอกาสยากที่จะร่วมขบวนอำนาจกัน
การยกระดับบู๊ทีมส้ม เกมปะฉะดะรัฐบาล-ฝ่ายค้าน มันหยดแน่
ผนวกกับเกมปะทะมวลชนนอกสภา ไฟม็อบจุดติดแล้วที่ “วังบางขุนพรหม” ปมชนวนเชื้อไวไฟจากการที่ทีม “จันทร์ส่องหล้า” สำแดงพลังผ่านรัฐบาลเพื่อไทย ยัดชื่อของ “เสี่ยโต้ง” นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตขุนคลังรัฐบาล “น้องปู” ยึดแท่นประธานบอร์ดแบงก์ชาติ
เอาชนะแรงต้านจากอดีตผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย เครือข่ายพนักงาน ธปท. นักวิชาการ คณาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยทั่วประเทศ ที่ลงชื่อคัดค้าน “นอมินีการเมือง” แทรกแซงธนาคารกลางของประเทศ
เมื่อ “นายใหญ่” ไม่กลัวอาถรรพณ์ “สมบัติปู่โสมฯ” ยุ่มย่ามสมบัติชาติ
ตามจังหวะก็จะไหลลามโดยอัตโนมัติ โอกาสถูกลากไปเชื่อมกระแสกับความเสี่ยงเสีย ดินแดน “เกาะกูด” ในการลุยโปรเจกต์ขุดสำรวจก๊าซธรรมชาติ พื้นที่ทับซ้อนทางทะเล ไทย–กัมพูชา
ม็อบหน้าเดิม แนวต้านระบอบทักษิณ บุกไล่รัฐบาลแน่
ศึกนอกกำลังปะทุ ในจังหวะปะเหมาะกับศึกในที่จ่อเข้าโซนปะทะ ตามสถานการณ์ประจัญบานที่แนวรบ “เขากระโดง” จังหวัดบุรีรัมย์
ยุทธการตะลุมบอนระหว่างหน่วยราชการ เกมเฉือนคมกฎหมายระหว่างกรมที่ดิน สังกัดกระทรวงมหาดไทยกับการรถไฟแห่งประเทศไทย ในสังกัดกระทรวงคมนาคม ลามลึกเป็นศึกประลองอำนาจ เฉือนเหลี่ยมการเมืองกัน ระหว่างค่ายแดงเพื่อไทย กับทีมน้ำเงินค่ายภูมิใจไทย
ตามเนื้อผ้า ต่างก็ท่องคาถา ว่ากันไปตาม “หลักการกฎหมาย”
ฉาบหน้ายิ้มแย้ม นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ รองนายกฯและ รมว.คมนาคม ถือคำพิพากษาของศาลฎีกา และคำตัดสินของศาลปกครอง กดปุ่มการรถไฟฯไล่บี้กรมที่ดินที่เล่นเชิงยื้อการถอนโฉนดเอกชนรุกที่หลวง
สั่นสะเทือนอาณาจักรของตระกูลนายเนวิน ชิดชอบ “ครูใหญ่” ค่ายเซราะกราว รวมทั้งคฤหาสน์หรูของ “เสี่ยหนู” ว่าที่ “นายกฯคาถาปะกำช้าง”
จังหวะค่ายแดง ได้เหลี่ยมการเมือง เบิ้ลกลับ “ต่อรอง” เอาคืน ค่ายน้ำเงิน ที่ขวางคลองเรือธงเพื่อไทย ทั้งเกมรื้อรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรม ไปยันเมกะโปรเจกต์ บ่อนกาสิโนเสรี รถไฟฟ้าเชื่อม 3 สนามบิน ฯลฯ
ตามเกมเขี้ยวไม่มีใครยอมให้ข่มฟรี สถานการณ์จะไหลไปถึงคิวเกรียนเซราะกราว ย้อนศร มนต์เขมร “ปลุกผียายเนื่อม” ส่งซิกให้กรมที่ดิน งัดคดีที่ธรณีสงฆ์ สนามกอล์ฟอัลไพน์ หลอนลูกเมีย “เถ้าแก่ใหญ่”
เงื่อนไขกฎหมาย กระตุกเหลี่ยมเขี้ยวการเมือง
บีบวัดใจ “เพื่อนกิน” ส่อวงแตกได้ทุกขณะ.
“ทีมการเมือง”
คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม