ใกล้วันชี้ชะตาเข้ามาทุกที เมื่อศาลรัฐธรรมนูญนัดหมายพิจารณารับ-ไม่รับคำร้องว่าด้วยคดีที่มีผู้ร้องว่า “ทักษิณ ชินวัตร” ล้มล้างการปกครองและครอบงำพรรคการเมือง
22 พ.ย.67...
หลังจากอัยการสูงสุดได้ส่งเอกสารความเป็นไปของเรื่องนี้รวมทั้งแนบคำให้การของผู้ถูกร้อง “ชูศักดิ์ ศิรินิล” ในฐานะตัวแทน “เพื่อไทย” และผู้ร้อง “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ทนายความอิสระ
ให้ศาลรัฐธรรมนูญแล้วตามคำสั่ง
ก็เป็นเรื่องของศาลรัฐธรรมนูญจะพิจารณาว่าจะรับหรือไม่รับคำร้องดังกล่าว ซึ่งผู้ร้องให้วินิจฉัยว่า “ทักษิณ” มีพฤติการณ์ล้มล้างการปกครองหรือไม่และครอบงำ “เพื่อไทย” หรือไม่
คงต้องรอลุ้นกันอีกไม่นานนี้
เพราะถ้าไม่รับคำร้องนั้นก็ตกไป ผู้ถูกร้องก็รอดตัวไม่ต้องตกอยู่ในบ่วงที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงทางการเมือง
รัฐบาลก็ไป นายกรัฐมนตรีก็ไป “ทักษิณ” ก็ต้องโดนด้วย!
แม้ “ทักษิณ” จะแสดงท่าทีไม่อินังขังขอบอ้างว่าเขาไม่ได้ทำผิดแต่เป็นเพราะ “ขาประจำ” สร้างเรื่องขึ้นมาเพื่อเล่นงานเขา
นั่นก็เป็นสิทธิที่จะพูดได้แต่พยานหลักฐานต่างๆเป็นอีกเรื่องหนึ่ง
ประเด็นที่น่าพูดถึงและพอเห็นเค้าลางแห่งความเป็นไปคือเห็นเงาตะคุ่มๆอยู่ไม่ไกลน่าจะเป็นประเด็นการครอบงำพรรคการเมืองมากกว่า
หลังจากที่ “เศรษฐา ทวีสิน” พ้นจากตำแหน่งปุ๊บบรรดาตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลได้เดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าซึ่ง “ทักษิณ” อยู่ในบ้านด้วย
ปรากฏการณ์ถัดมาได้มีการจัดตั้งรัฐบาลที่มี “เพื่อไทย” เป็นแกนนำและพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิมที่เข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า
“แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี...
...
ว่ากันว่ามีการเจรจาให้ทุกพรรคสนับสนุนแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีให้เป็นผู้นำประเทศและก็เป็นเช่นนั้นจริง
แม้ล่าสุด “ทักษิณ” จะเปิดเผยว่าไม่มีอะไรแค่กิน “มาม่า” เท่านั้น
แต่แวดวงการเมืองบอกเป็นเสียงเดียวกันว่าพูดอย่างนี้ก็เท่ากับ “ผิดไปครึ่งหนึ่ง” แล้ว เพราะเป็นการยอมรับว่าการเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้าของตัวแทนพรรครัฐบาลนั้น
“เป็นเรื่องจริง” เท่ากับเป็นการสารภาพเบื้องต้น
หรือที่เลขาธิการ “เพื่อไทย” บอกว่าไม่มีตัวแทนพรรคอยู่ในเหตุการณ์นั้นด้วยเท่ากับพรรคไม่ได้เกี่ยวข้องด้วย
คือไม่ได้มีใครครอบงำ...
ตรงนั้นคงไม่ใช่ประเด็นแต่ประเด็นอยู่ที่ว่าทุกอย่างที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นเป็นไปตามข้อตกลงที่ “เพื่อไทย” และพรรคร่วมปฏิบัติตาม
แม้ไม่มีภาพให้ปรากฏเป็นหลักฐานแต่พฤติการณ์ต่างๆ นับแต่สถานที่ เจ้าของบ้านและแขกที่เข้าไปในบ้าน
หลังจากนายกรัฐมนตรีคนเก่าพ้นจากตำแหน่ง
ก็ได้รัฐบาลใหม่ที่มีพรรคร่วมรัฐบาลชุดเดิม
“ทักษิณ” เจ้าของบ้านยังบอกว่ากิน “มาม่า” กันเพียงแต่ไม่ได้บอกว่าคุยอะไรกัน ตกลงเรื่องอะไรกันเท่านั้น
หากพิจารณาจากประเด็นในคำร้องต่างๆนั้นเรื่องนี้น่าจะชัดเจนที่สุดเพราะไม่มีอะไรซับซ้อนจนต้องไปค้นหาหรือใช้ข้อกฎหมายพิจารณาให้ยุ่งยาก
ไม่ต่างจากการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่ขาดคุณสมบัติเท่าใดเพราะรู้อยู่แล้วแต่ยังตั้ง
กรณีนี้ก็ไม่ต่างกันไล่ตั้งแต่จุดเริ่มต้นจนจุดสุดท้ายมีที่มาที่ไปชัดเจนและตัวละคร สถานที่ เงื่อนเวลามันสอดรับกันหมด
ง่ายๆแค่ว่าทำไมต้องไปกิน “มาม่า” กันตอนนั้น!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม