ปัญหาสำนักสงฆ์บุกรุกเขตป่าสงวนแห่งชาติ เป็นปัญหาเรื้อรังที่รัฐบาลควรเร่งแก้ไขให้เหมาะสมถูกต้องเสียที

ต้นเหตุเกิดจากมติ ครม.ยุครัฐบาลก่อนไปผ่อนผันให้ใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติ สร้างวัดสร้างสำนักสงฆ์และสถานปฏิบัติธรรมตามกำลังศรัทธา

ทำให้มีการยื่นขออนุญาตใช้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติตั้งสำนักสงฆ์ตั้งพุทธอุทยาน ตั้งสถานปฏิบัติธรรม ฯลฯ มากกว่า 9,000 ราย

กรมป่าไม้อนุญาตไปแล้วราว 1,000 ราย คิดเป็นพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติกว่า 15,000 ไร่

ยังเข้าคิวรอให้กรมป่าไม้อนุญาตอีกกว่า 8,000 ราย ซึ่งจะส่งผลให้พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติต้องเปลี่ยนสภาพเป็นสำนักสงฆ์กลางป่ากลางเขาอีกบานตะไท

ล่าสุดยังมีพระเณรเถรชีแห่ไปปักป้าย ตั้งสำนักสงฆ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติเพิ่มขึ้นทุกวัน

หากปล่อยฟรีสไตล์ต่อไป...ผืนป่าไม้มรดกชาติทั่วประเทศ (ซึ่งเหลือน้อยเต็มที) จะยิ่งลดลงไปอย่างน่าวิตกกังวล

นี่คือประเด็นที่ “แม่ลูกจันทร์” เคยกระทุ้งมาแล้วหลายรอบ

เมื่อปลายเดือนที่แล้วเพิ่งกระทุ้งซ้ำไปอีกกระทอก

ล่าสุด นายชูศักดิ์ ศิรินิล รมต.ประจำ สำนักนายกฯ ผู้กำกับดูแลสำนักพุทธศาสนาแห่งชาติ เปิดเผยว่า จะเร่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ เพื่อแก้ปัญหาใช้ที่ดินวัดและสำนักสงฆ์ ซึ่งกำลังมีปัญหาทั่วประเทศ

เนื่องจากสำนักสงฆ์ส่วนใหญ่ไม่มีที่ดินของตัวเอง จึงใช้ที่ดินสาธารณะหรือที่ดินของรัฐก่อสร้างสำนักสงฆ์ ทำให้เกิด ปัญหาร้องเรียนต้องเร่งจัดการแก้ไขอีกมากมาย

เมื่อสำนักสงฆ์จะขอ “วิสุงคามสีมา” เพื่อยกฐานะเป็นวัดตามกฎหมาย ก็เกิดปัญหายุ่งเป็นฝอยขัดหม้อตามมา

การแต่งตั้งคณะกรรมการระดับชาติ โดยมีกรมที่ดิน กรมป่าไม้ และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องทั้งหมด จะทำให้การจัดระเบียบที่ตั้งสำนักสงฆ์มีข้อยุติที่เหมาะสมถูกต้องโปร่งใสชัดเจน

...

“แม่ลูกจันทร์” เสนอว่าควรกำหนดเงื่อนไขการจัดตั้งสำนักสงฆ์ และสถานปฏิบัติธรรม ต้องยื่นขออนุญาตจากสำนักพุทธฯเสียก่อนเป็นขั้นแรก

เพื่อให้สำนักสงฆ์ทั่วประเทศมีข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งอย่างถูกต้องสามารถติดตามตรวจสอบได้โดยตรง

ขั้นต่อไปคือเขตป่าสงวนแห่งชาติ หรือเขตอุทยานแห่งชาติ ที่จะผ่อนผันให้ตั้งสำนักสงฆ์ หรือวัดป่า หรือสถานปฏิบัติธรรม หรือพุทธอุทยาน จะต้องผ่านการคัดกรองอย่างรอบคอบรัดกุม

ข้อสำคัญ พื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่ผ่อนผันให้ตั้งสำนักสงฆ์ ต้องพอสมควรแก่การปฏิบัติธรรม ไม่ใช่บุกรุกครอบครองกันเป็นร้อยไร่ หรือหลายร้อยไร่อย่างที่ผ่านมา

ข้อสำคัญ (แถมอีกข้อ) พื้นที่ป่าต้นน้ำลำธาร หรือพื้นที่ภูเขาที่มีความลาดชัน เกิน 35 องศา ควรสงวนไว้ตามกฎหมายที่ดิน

และข้อสุดท้ายสำนักสงฆ์ที่ไม่ขออนุญาต ถือเป็นสำนักสงฆ์เถื่อนต้องรื้อถอนออกไป เพื่อคืนผืนป่าไม้เป็นมรดกชาติอย่างเดิม

“แม่ลูกจันทร์” มองว่าสำนักสงฆ์กับป่าไม้สามารถอยู่ร่วมกันได้

แต่ต้องไม่ทำลายความสมดุลธรรมชาติ

การจัดตั้งวัดป่า หรือสำนักสงฆ์ หรือ สถานปฏิบัติธรรม ล้วนเป็นเรื่องดีทั้งสิ้น

แต่ไม่ควรปล่อยให้ตั้งสำนักสงฆ์ในเขตป่าสงวนแห่งชาติมากจนเกินความจำเป็น

ขออภัยไม่อยากพูดเยอะ แต่แค่นี้ก็เยอะแล้วนะโยม.

“แม่ลูกจันทร์”

คลิกอ่านคอลัมน์ “สำนักข่าวหัวเขียว” เพิ่มเติม