ก่อนจะบุกเมืองหลวงแดนอีสานของคนเสื้อแดงที่จังหวัดอุดรธานี ก็ต้องโหมโรงเคลียร์หน้าเสื่อปัญหาของตัวเอง เสียก่อน

“ทักษิณ ชินวัตร” เปิดปากทุกเรื่องที่ถูกกล่าวหาในงานทอดกฐินโดยมีพลพรรค “เพื่อไทย” มากันพร้อมหน้าพร้อมตา

แถมยังมีโฆษกพรรคฝ่ายค้านพลังประชารัฐมาร่วมด้วย ทำให้สีสันบรรเจิดขึ้นมาอีก โดย “พล.ต.ท.ปิยะ ต๊ะวิชัย” ซึ่งก็เคยสนิทสนมกับคนของ “เพื่อไทย” หลายคนมาก่อน จึงไม่ใช่คนแปลกหน้า

โฆษกพลังประชารัฐเปิดเผย “พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ” หัวหน้าพรรค ไม่เคยกล่าวร้าย “ทักษิณ” แต่อย่างใดเพราะเคยสนิทสนมกันมา มีแต่ขอให้ร่วมกันทำงานเพื่อชาติบ้านเมืองดีกว่า

ไม่รู้ว่าเขาตั้งใจพูดเองหรือถูกสั่งให้พูด

เพราะในสภาพความเป็นจริงนั้นระหว่าง “ทักษิณ” กับ “บิ๊กป้อม” นั้นขัดแย้งกันอย่างหนัก เพราะพลังประชารัฐถูกเขี่ยออกจากรัฐบาล

จากนั้น “ทักษิณ” ยังกล่าวถึงลูกสาวนายกรัฐมนตรีว่าทำงานดีเรียนรู้ได้เร็ว

ก็ชมเป็นใบเบิกทางเอาไว้!

แต่เรื่องหลักที่อยากพูดและต้องการสื่อให้แฟนคลับได้รับรู้คือเรื่องที่ถูกยื่นคำร้องด้วยข้อหาต่างๆที่ศาลรัฐธรรมนูญ

แม้แต่เรื่องเอ็มโอยู 44 ก็ยังบอกว่าพวกไม่รู้จริงต้องการให้รัฐบาลเกิดปัญหา

ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลเดินทางเข้าบ้านจันทร์ส่องหล้า หลังจาก “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องพ้นจากตำแหน่ง

“ก็ไปกินมาม่า อร่อยดี” ไม่เห็นมีอะไรปัดครอบงำ

เรื่องชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจก็เป็นเพราะพวก “ขาประจำ” ที่ไม่ชอบเขาหาเรื่องทั้งๆที่ไม่มีอะไร ทุกอย่างเป็นไปตามระเบียบ

และยังกล่าวถึงปัญหาต่างๆที่รายล้อมรัฐบาลนั้น นายกรัฐมนตรีเห็นตั้งแต่เด็กแล้วว่าการเมืองไทยเป็นอย่างนี้

...

“พวกขาประจำ” สร้างเรื่องขึ้นมาเอง...

ก่อนจะไปอีสานวันที่ 13-14 พ.ย.67 ก็ต้องฟอกขาวตัวเองเสียก่อน และยังบอกด้วยว่าการปราศรัยที่อุดรนั้นจะไม่โจมตีใครเพียงแต่พากย์เสียงช่วยผู้สมัครเท่านั้น

คนอุดรธานีนั้นผูกพันกันมานานหลายสิบปีแล้วก็คิดถึงกัน

แน่นอนว่าการเลือกตั้งนายก อบจ.ที่อุดรนั้นมีความสำคัญต่อ “เพื่อไทย” และอนาคตของลูกสาวต้องชนะแพ้ไม่ได้ เพราะคู่แข่งคือพรรคประชาชนที่บรรดาแกนนำได้ลงพื้นที่เต็มอัตราศึก

ใครชนะจึงมีความหมายอย่างยิ่ง

การที่ “ทักษิณ” ต้องออกมาแสดงความเห็นเรื่องที่ถูกร้องนั้นในทางการเมืองถือว่าเป็นเรื่องใหญ่ โดยเฉพาะข้อหาล้มล้างการปกครอง ครอบงำพรรคการเมือง

ถ้ามีความผิดก็เรียบร้อย

การดำเนินการต่างๆก็คืบหน้าพอสมควร โดยอัยการได้เรียกผู้ถูกร้องและผู้ร้องไปให้ข้อมูลแล้วก่อนที่จะส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญ

ประเด็นที่ต้องลุ้นกันก็คือจะรับคำร้องหรือไม่?

ถ้ารับคำร้องก็เท่ากับขาข้างหนึ่งถูกล็อกด้วยกุญแจมือแล้ว

ถ้าจะถามว่า “ทักษิณ” หวั่นไหวหรือไม่?

ก็คงไม่ต่างไปจาก “เศรษฐา ทวีสิน” พูดง่ายๆตกอยู่ในสภาพเดียวกัน เพียงแต่ “ทักษิณ” ผ่านร้อนผ่านหนาว ประสบการณ์มากกว่า

จึงรักษาทรงได้ดีกว่า

แต่ลึกๆ แล้วคงไม่ต่างกันเท่าใดนัก ยิ่งงานนี้ไม่ใช่ตัวเขาเท่านั้นแต่ยังรวมไปถึง “ลูกสาว” ที่จะต้องประสบชะตากรรมไปด้วย

วันนี้ทำได้อย่างเดียวคือ

"ใจดีสู้เสือ"...เท่านั้น!

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม