จับยามสามตาดูจากสถานการณ์และความเป็นไปของบ้านเมืองที่ไม่ค่อยจะดีนักโดยเฉพาะที่เกี่ยวกับรัฐบาล

นี่ยังไม่รวมเคส “นิติสงคราม” นะ...

แต่เป็นเรื่องการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่มี “แพทองธาร ชินวัตร” เป็นนายกรัฐมนตรี เพราะมีหลายเรื่องที่ทำท่าจะเกิดปัญหาระหว่าง “รัฐ” กับ “ประชาชน”

ใครที่ปรามาสว่า “ม็อบ” จุดไม่ติดไม่น่าห่วงนั้นอย่าได้ประมาทเชียวเพราะมันเริ่มตั้งเค้าแล้วจาก 3 ประเด็นที่จะเป็นชนวนไปสู่จุดนั้นได้

ถ้ารัฐบาลไม่ตัดไฟแต่ต้นลมก่อนมีโอกาสที่จะเกิดขึ้นมาได้

1.การแต่งตั้งประธานบอร์ดแบงก์ชาติที่ดึงดันจะส่งนักการเมืองไปดำรงตำแหน่งนี้

2.“เกาะกูด” ภายใต้เงื่อนไขเอ็มโอยู 44 จะตกเป็นของกัมพูชาว่าด้วยพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลด้วยข้อหา “ขายชาติ”

3.อภิสิทธิ์ชนที่ “ทักษิณ ชินวัตร” ไปรักษาที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจโดยไม่ติดคุกแม้แต่วันเดียว ซึ่งเรื่องนี้กำลังถูกขยายปมจนดิ้นลำบากแล้ว

ว่าไปแล้วการปลุกม็อบในสมัยนี้เป็นไปค่อนข้างยากเพราะประชาชนเบื่อหน่าย และประเด็นสำคัญคือต้องมีชนวนที่เป็นเงื่อนไขสร้างความรู้สึกร่วมจึงจะเกิดกระแสคล้อยตามได้

แต่ทั้ง 3 ประเด็นนั้นแม้ไม่ใช่เรื่องใหม่ เป็นเรื่องเก่าที่มาเล่าใหม่แต่เนื่องจากมีผลต่อความรู้สึกของประชาชน

ว่ารัฐบาลทำสิ่งที่ขัดใจและขัดกติกาความควรไม่ควร!

อย่างเรื่องแบงก์ชาติที่ถือปฏิบัติกันมายาวนานแล้วว่านักการเมืองไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยวเพราะจะทำให้ขาดความเป็นอิสระ

เกรงว่าการเมืองจะเข้าไปล้วงลูกแต่งตั้งคนของตัวเองดำรงตำแหน่งสำคัญๆ ที่กังวลมากนอกจากนี้จำนวนเงินคงคลังซึ่งเป็น หลักประกันในความน่าเชื่อถือด้านเศรษฐกิจของประเทศ

...

ประเด็นใหญ่คือจะทำให้ระบบการเงินของประเทศเสียหาย

ประเทศต่างๆทั่วโลกไม่ว่าเล็ก-ใหญ่จึงระมัดระวังและสร้างมาตรฐานให้แบงก์ชาติปลอดการเมืองเพื่อให้มีความเป็นอิสระ

สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือรัฐบาลพยายามที่จะฝืนหลักการนี้

แต่เนื่องจากมีกระแสคัดค้านสูงทั้งจากบรรดานักเศรษฐศาสตร์ อดีตผู้ว่าการแบงก์ชาติ พนักงานและกลุ่มการเมืองต่างๆ

ทำให้คณะกรรมการสรรหาต้องเลื่อนการพิจารณาเป็นครั้งที่ 2 ล่าสุดได้มีม็อบไปชุมนุมที่หน้าแบงก์ชาติทำให้ต้องเลื่อนการพิจารณาออกไป

ประกาศด้วยว่าการประชุมครั้งต่อไปก็จะมาชุมนุมคัดค้านอีก

ประเด็นเรื่อง “เกาะกูด” ก็เป็นเรื่องใหญ่อีกเช่นกันและมีผลกระทบต่อความรู้สึกของประชาชนที่สามารถปลุกอารมณ์คนได้ไม่ยาก

เพราะคำว่า “ขายชาติขายแผ่นดิน” นั้นคนไทยไม่ยอมแน่

อีกเรื่องหนึ่งคือคำว่า “อภิสิทธิ์ชน” ปกติแล้วคนไทยนั้นค่อนข้างจะชินชากับเรื่องนี้เพราะสังคมไทยมีปัญหาเรื่องความเหลื่อมล้ำค่อนข้างสูง

ดังนั้นหากมีเรื่องที่มีภาพชัดและค่อนข้างจะเห็นความเป็นไปได้โดยเฉพาะนักโทษการเมืองและมีชื่อเสียงโด่งดังมีทั้งคนชอบและไม่ชอบ

กระแสการไม่ยอมรับมันจึงเกิดขึ้นง่าย...

ทั้ง 3 เรื่องนี้คือปมประเด็นที่สามารถจุดไฟให้จุดพึ่บได้ง่าย

ก็บอกไปถึงรัฐบาลอย่าคิดว่ามีเสียงสนับสนุนแน่น เสถียรภาพมั่นคง แต่เรื่องละเอียดอ่อนที่กระทบต่อจิตใจคนอย่างนี้

“พ่อนายกรัฐมนตรี” ผู้มีบารมีเหนือรัฐบาลน่าจะเข้าใจเพราะเคยโดนมาแล้ว

พรรคร่วมรัฐบาลควรจะส่งเสียงเตือน “เพื่อไทย” อย่าฝืนกระแสเป็นอันขาดถ้าจะอยู่ร่วมเป็นรัฐบาลนานๆ

“จิ้งจกทัก” ยังต้องฟังนับประสาอะไร!.

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม