หลังฝนหมดเริ่มเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเป็นทางการทุกอย่างล้วนเป็นเรื่องธรรมชาติแต่ในสิ่งที่ตามมาคือผลพวงที่มนุษย์มีส่วนก่อขึ้นมาเอง

จะเห็นได้ว่าปรากฏการณ์จากฝนตกที่ต่างไปจากที่ผ่านมา

คือการพัดพาเอาดินโคลนมาด้วยอย่างที่แม่สาย เชียงรายชัดเจนที่สุด

นั่นทำให้เกิดปัญหาหนักเข้าไปอีกลำพังแค่น้ำท่วมเฉยๆก็แย่แล้วนี่ยังมี “โคลน” ตามมาด้วยกว่าจะจัดการให้เข้าที่เดิมก็ต้องใช้เวลา ใช้กำลังคนและเครื่องไม้เครื่องมือกว่าจะส่งคืนพื้นที่ได้ก็หลายวันอยู่

เหล่านี้คือปัญหาใหม่ที่จะหนักมากขึ้นในปีต่อไป

ถ้ารัฐบาลไม่คิดแก้ไขอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่วันนี้ธรรมชาติก็จะลงโทษอย่างไม่ปรานีอย่างนี้ ทว่าดูแล้วรัฐบาลก็คงไม่คิดที่จะแก้ไขระยะยาวเพราะเป็นเรื่องใหญ่ใช้งบประมาณมาก

ปีหน้าก็พบกันอีกแน่!

ไม่ต่างไปจากปีนี้เท่าใดเพราะรัฐบาลต้องแก้ปัญหาเฉพาะหน้าที่สำคัญกว่าเป็นเรื่องที่ร้ายแรงกว่า

คือความอยู่รอดของรัฐบาลไม่ว่าจะเป็นเรื่องเศรษฐกิจ การเมืองที่จ่อรออยู่

หรืออย่างการที่ลมหนาวพัดเข้ามาก็มี “ฝุ่นพิษ” เกาะติดมาด้วย เริ่มพบเจอแล้วทั้งใน กทม. และต่างจังหวัดโดยเฉพาะในภาคเหนือ

กลายเป็นว่าประเทศไทยแม้ยังมีฤดูร้อน ฤดูฝนและฤดูหนาวแล้วยังมีฤดู “ฝุ่น” ประจำปีเกิดขึ้นซึ่งเป็นปัญหาที่กระทบต่อสุขภาพของประชาชนและการท่องเที่ยวของไทย

เพราะนักท่องเที่ยวแม้จะชอบเมืองไทยแต่เจอฝุ่นพิษก็ไม่มีใครอยากมา

ปัญหานี้รัฐบาลที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบันก็คงไม่ต่างกัน บอกว่าจะแก้ไขอย่างยั่งยืนแต่สุดท้ายก็แก้ปัญหาเฉพาะหน้าเป็นปีไปเท่านั้น

เนื่องจากต้องไปแก้ปัญหาความมั่นคงและความอยู่รอดของรัฐบาลมากกว่าคิดถึงคุณภาพชีวิตของประชาชน

...

ที่ต้องตายผ่อนส่งกันปีต่อปี...

ก็ไม่มีอะไรหรอกครับ...เพียงแต่ต้องการสะท้อนภาพความเป็นไปของประเทศนี้ที่ไม่สามารถแก้ไขปัญหาให้คนไทยได้อย่างที่ควรจะเป็น

พูดง่ายๆว่าถ้ายังมีลมหายใจอยู่ก็ดีถมไปแล้ว!

วันนี้รัฐบาลมีปัญหาใหญ่อยู่เรื่องคือเศรษฐกิจกับการเมือง

ที่จะต้องแก้กันวันต่อวันจนไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นได้

การเมืองก็ยังติดหล่มอยู่กับเรื่องเดิมๆการแก้ไขรัฐธรรมนูญ กฎหมายนิรโทษกรรมที่ผูกปมเอาไว้จนแกะไม่ออก

“เศรษฐกิจ” น่าจะเป็นเรื่องใหญ่ที่สุด ล่าสุดที่พูดถึงกันมากคือไทยอาจจะถูกลดเครดิตความน่าเชื่อถือได้

แม้จะไม่ทำให้เศรษฐกิจพังพินาศแต่จะทำให้ความเชื่อมั่นถูกลดทอนลงไปเรื่อยๆดีที่ยังมีเงินคงคลังค้ำประกันอยู่

แต่ในยามที่สถานะทางเศรษฐกิจที่ตกต่ำจีดีพีต่ำสุดในกลุ่มประเทศอาเซียนซึ่งแต่ละประเทศต่างก็ขยับตัวสูงขึ้นอย่างชัดเจน

โดยเฉพาะคู่แข่งสำคัญของไทย โดยเฉพาะเวียดนามที่แต่ละก้าวของเขาเติบโตอย่างมีนัยสำคัญแต่ของไทยกลับตรงกันข้าม

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อเพราะที่ผ่านมานั้นไทยเคยเหนือกว่าทุกประเทศแต่วันนี้รั้งท้ายไปอยู่อันดับบ๊วย ถือเป็นความล้มเหลวตกต่ำที่สุด

รัฐบาลก็ยังไม่มีอะไรใหม่พอที่จะชี้ให้เห็นว่ากำลังจะทำให้เศรษฐกิจผงกหัวขึ้นมาได้นอกจากโครงการแจกหัวละหมื่นบาท

ที่ภูมิใจหนักหนาแต่ก็ไม่ได้ทำให้ภาพรวมดีขึ้นแม้แต่น้อย

นี่กำลังคิดจะเปิดเฟส 2 แต่ยังไม่ลงตัวว่าจะดำเนินการอย่างไร ซึ่งก็ได้แต่ความพึงพอใจของประชาชนแต่ไม่ได้ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นขึ้นมาได้

ทุกอย่างดูหนักเอาการอยู่!

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม