“วิลาศ” บุกรัฐสภา นำสื่อตรวจงานแผ่นหินรอบศาลาแก้ว บันไดไม้ ไม่ตรงสัญญา จองกฐินร้อง ป.ป.ช. หลังรับมอบงาน 100% แล้ว 20 เรื่อง

เมื่อเวลา 13.30 น. วันที่ 28 ตุลาคม 2567 นายวิลาศ จันทร์พิทักษ์ อดีต สส.กทม. และอดีตประธานคณะกรรมาธิการการป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎร นำสื่อมวลชนรัฐสภา ตรวจสอบทางเดินเท้าที่ปูด้วยหินวิชิตาสีส้ม โดยรอบศาลาแก้ว ในลักษณะไม่มีฐานปูนรองรับแผ่นหินวิชิตาเกินกว่าครึ่ง คือแผ่นหินวิชิตามีความกว้าง 60 x 60 เซนติเมตร (ซม.) แต่สามารถสอดแท่งตะเกียบไม้เข้าไปใต้แผ่นหินวิชิตาได้มากกว่า 20 ซม.

นายวิลาศ กล่าวว่า การทำงานโดยปูแผ่นหินที่คำนึงถึงความสวยงามเพียงอย่างเดียว แต่ไม่คำนึงถึงความปลอดภัย หากมีงานรัฐพิธี หรือพิธีต่างๆ ของสภาที่ต้องใช้สถานที่นี้ และมีแขกมาร่วมงานจำนวนมากเดินหรือยืนบนแผ่นหิน อาจทำให้แผ่นหินรับน้ำหนักไม่ได้และแตกหัก อาจเกิดอุบัติเหตุบาดเจ็บหรือสูญเสียได้ เพราะเป็นการปูครอบรางน้ำทิ้งครึ่งหนึ่ง และอีกครึ่งปูเข้าไปในพื้นที่ของศาลาแก้ว ตนจะส่งเข้าประกวดรางวัลโนเบลสาขาสิ่งมหัศจรรย์ของโลก พร้อมนำไม้ตะเกียบยาว 20 ซม. พร้อมมือ สอดเข้าไปใต้แผ่นหินให้ดูอีกด้วย สำหรับการปูแผ่นหินดังกล่าว ปูมาตั้งแต่ทางเดินเข้าศาลาแก้ว ทั้งริมด้านซ้ายและขวา รวมถึงโดยรอบศาลาแก้ว

...

จากนั้น นายวิลาศ พาไปดูบริเวณตัวศาลาและบันไดยักษ์ทางขึ้นด้านหน้าทิศตะวันออก ซึ่งตามแบบระบุว่าเป็นไม้สัก ระยะห่างต่อแผ่นไม่เกิน 2 มิลลิเมตร (มม.) แต่สภาพจริงร่องห่างมาก และไม่รู้ว่าเป็นไม้อะไร ชี้ให้เห็นถึงการทำผิดสัญญา ที่ระบุว่าต้องเป็นไม้สักที่มีความชื้นของเนื้อไม้ 16 เปอร์เซ็นต์ คือต้องเป็นไม้ที่อบแห้งแล้ว และต้องเคลือบน้ำมันเพื่อรักษาเนื้อไม้ เพื่อปูแล้วจะมีร่องระหว่างไม้ไม่เกิน 2 มิลลิเมตร แต่ที่เห็นทั้งพื้นศาลาที่เป็นไม้สัก มีเนื้อไม้หด แสดงว่าไม้ไม่ได้อบ มีช่องว่างระหว่างแผ่นไม้ 1-2 ซม. ทั้งศาลาและพื้นไม้โดยรอบอาคารชั้นล่างทั้งหมด ต่างจากการปูพื้นไม้ก่อนเข้าห้องประชุมสภาชั้น 2 ที่ได้มาตรฐานตรงตามสัญญา

นอกจากนี้ ตรงทางเชื่อมต่อระหว่างอาคาร กรณีที่มีฝนตกและฝนสาด มีน้ำฝนทะลักเข้าตัวอาคาร บริเวณโถงห้องแถลงข่าวใกล้ศาลาแก้ว ก็ใช้วิธีก่ออิฐโบกปูนยาวกว่า 2 เมตร พร้อมซีลยางกันน้ำเข้า ซ้ำยังล็อกกุญแจห้ามใช้ประตูดังกล่าวเป็นการถาวร และไม่ได้มีจุดนี้จุดเดียว แต่ยังมีด้านบนชั้นอื่นๆ ที่ทำในลักษณะนับสิบประตู

ทั้งนี้ ตนยื่นร้องต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ ก่อนที่เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎรจะเซ็นรับมอบงานก่อสร้าง 100 เปอร์เซ็นต์ รวมแล้ว 36 เรื่อง เพื่อให้ตรวจสอบเรื่องส่อทุจริต ทำผิดสัญญา ทำให้รัฐเสียหาย และยื่นเรื่องให้ตรวจสอบหลังการเซ็นรับมอบงาน 100 เปอร์เซ็นต์ อีก 20 เรื่อง คาดว่ายังมีเรื่องอื่นๆ ที่ตรวจพบ มีความเสียหายตีเป็นมูลค่าเกิน 10 ล้านบาท อีกอย่างน้อย 10 เรื่อง.