สถานการณ์เข้าสู่ทางตรงแล้วหลังจากศาลรัฐธรรมนูญเคลื่อนไหวด้วยการสั่งให้อัยการสูงสุดตอบกลับข้อมูลหลักฐานที่มีคำร้องปมล้มล้างสถาบันและล้มล้างการปกครอง

จากการที่ “ธีรยุทธ สุวรรณเกษร” ทนายความได้ยื่นคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเอาผิด “ทักษิณ ชินวัตร” และ “เพื่อไทย”

ด้วยความผิดล้มล้างสถาบัน ล้มล้างการปกครองและครอบงำพรรคการเมือง โดยขอให้วินิจฉัย 6 ประเด็น

ตามขั้นตอนผู้ร้องให้ยื่นคำร้องให้อัยการสูงสุดพิจารณาในเบื้องต้นว่าเข้าข่ายความผิดหรือไม่ หากพบก็ให้ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

นี่เป็นขั้นตอนปกติในการดำเนินการ

ดังนั้นภายใน 15 วัน อัยการสูงสุดจะต้องยื่นข้อมูลหลักฐานต่างๆ ให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาเพื่อตรวจสอบและตัดสินใจว่าจะรับคำร้องนี้หรือไม่

ข่าวว่าอัยการได้ดำเนินการตรวจสอบเบื้องต้นแล้ว ขณะนี้เรื่องอยู่อัยการสูงสุดว่าจะตัดสินใจส่งให้ศาลรัฐธรรมนูญเมื่อใด

จะต้องไม่เกิน 15 วัน ตามที่ศาลรัฐธรรมนูญกำหนด!

นอกจากนั้นมีข่าวว่าการดำเนินการของศาลรัฐธรรมนูญไม่ต่างกับกรณีของ “ก้าวไกล” ที่ถูกยุบพรรคไปแล้วและได้ตั้งพรรคใหม่ชื่อ “ประชาชน”

จึงมีการคาดการณ์กันว่ามีความเป็นไปได้ที่ศาลรัฐธรรมนูญจะรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย เท่ากับว่า “ทักษิณ”-“เพื่อไทย”

เข้าไปอยู่ในโซนอันตรายแล้ว

6 ประเด็นในคำร้องนั้นแม้ว่าได้เน้นย้ำในเรื่อง “ยุบพรรค” แต่ให้วินิจฉัยว่าพฤติการณ์ต่างๆนั้นเข้าข่ายล้มล้างการปกครองและครอบงำหรือไม่ขอให้สรุปสั้นๆอีกครั้ง

1.กรณีที่ “ทักษิณ” ไม่ยอมติดคุกแม้แต่วันเดียว อ้างว่าป่วยจึงไปนอนรักษาตัวที่ชั้น 14 โรงพยาบาลตำรวจ

...

2.การรวมหัวกับนักการเมืองประเทศเพื่อนบ้านเพื่อจะฮุบพื้นที่ทับซ้อนทางทะเลซึ่งเป็นของไทยอย่างชัดเจน

3.รวมหัวกับพรรคประชาชนเพื่อขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ

4.นำวิสัยทัศน์ของ “ทักษิณ” บรรจุเป็นนโยบายของรัฐบาลและแถลงต่อสภา

5.ให้พรรคเพื่อไทยเขี่ยพรรคพลังประชารัฐออกจากการเป็นพรรคร่วมรัฐบาลอย่างแยบยล

6.เรียกตัวแทนพรรคร่วมรัฐบาลชุดเก่าไปที่บ้านพักจันทร์ส่องหล้าเพื่อตั้งนายกรัฐมนตรีและตั้งรัฐบาล

นี่คือ 6 ปมที่เป็นคำร้องเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย...

ส่วนที่มีการยื่นคำร้องไปที่ กกต.เพื่อให้สอบสวนว่า “ทักษิณ” ครอบงำ “เพื่อไทย” หรือไม่ และ กกต.สอบพบเบื้องต้นว่า “มีมูล” นั้นเป็นอีกเรื่องที่แยกกัน หากสอบพบว่าเข้าข่ายความผิดก็ต้องส่งคำร้องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยเช่นกัน

นี่เป็นสถานการณ์การเมืองที่ไม่ดีนักสำหรับรัฐบาล และส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจเป็นเหตุให้หุ้นซึ่งกำลังพุ่งขึ้นกลับร่วงลงมาอีก

แม้นายกรัฐมนตรี “แพทองธาร ชินวัตร” จะยืนยันว่าไม่กังวลหลังจากร่วมดินเนอร์กับพรรคร่วมรัฐบาลก่อนหน้านี้

หรือหัวหน้าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคจะบอกว่าไม่มีปัญหาเพราะพรรคเขานั้นไม่มีใครครอบงำได้

พูดง่ายๆว่าต่างก็พยายามแสดงตนว่าไม่กลัวเป็น “ใจดีสู้เสือ”

แต่แวดวงการเมืองโดยผู้สันทัดกรณีต่างฟันธงไปในทิศทางเดียวกันว่า “ไม่น่ารอด” ไม่ต่างไปจาก “ก้าวไกล”

อีกไม่นานน่าจะรู้ว่าผลจะออกมาอย่างไร?

ประเด็นที่น่าสนใจคือหากผลออกมาว่า “เพื่อไทย” โดน พรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ จะโดนหรือไม่เนื่องจากเกี่ยวพันกันอยู่

ถ้าโดนทั้งพวงก็คงจะยุ่งพิลึกแน่!

“สายล่อฟ้า”

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม