ภายหลังที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ครั้งที่ 5/2567 มีมติ 5 ต่อ 2 เสียง ปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ลง 0.25% จากเดิม 2.50% มาอยู่ที่ 2.25% โดยการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้ ถือเป็นการปรับลดดอกเบี้ยครั้งแรกในรอบ 4 ปี
หนึ่งในคณะทำงานรัฐบาล ให้ข้อมูลว่า การประกาศลดดอกเบี้ยครั้งนี้ถือว่าเกินความคาดหมาย เพราะไม่มีใครคิดว่าจะลดในช่วงเดือนตุลาคมนี้ อย่างไรก็ตาม นักเศรษฐศาสตร์ต่างมองว่าควรจะลดตั้งนานแล้ว และควรลดลงมากกว่านี้ เพราะจากสถานการณ์เศรษฐกิจที่ค่อนข้างตึงตัว แต่ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กลับส่งสัญญาณอย่างแข็งขันมาตลอดว่าจะไม่ปรับลดดอกเบี้ยลง และบอกว่าอัตราดอกเบี้ยนโยบายยังอยู่ระดับเป็นกลาง
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญต้องดูว่าดอกเบี้ยนโยบายที่เป็นกลางอยู่ตรงไหน และความเป็นกลางเอามาจากตรงไหนกันแน่ นั่นคือสิ่งสำคัญกว่า
ก่อนหน้านี้ ธปท.อ้างว่าดอกเบี้ยนโยบายเป็นกลางแล้ว ซึ่งถ้าก่อนหน้านี้ที่ 2.5% เป็นกลาง แล้วพอลดลงมาที่ 2.25% ก็บอกว่าเป็นกลางอีก คำถามคือดอกเบี้ยนโยบายที่เหมาะสมอยู่ตรงไหน ต้องมีวิธีการคำนวณหรือไม่
โดยขอยกตัวอย่างช่วงก่อนโควิดเมื่อปี 2557-2562 ในภาวะปกติ อัตราเฉลี่ยเงินเฟ้อของประเทศไทยอยู่ที่ประมาณ 0.6% ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.75% จีดีพีโต 3% ธปท. ก็บอกว่าปกติ
หากนำอัตราดอกเบี้ย 1.75% ลบด้วย 0.6% ดอกเบี้ยนโยบายจริงคือ 1.15% อาจอ้างได้ว่าเป็นนโยบายการเงินที่เป็นกลาง แต่ส่วนตัวยังมองว่าอาจจะตึงเกินไป เพราะเป้าหมายอัตราเงินเฟ้ออยู่ที่กรอบ 1-3% ไม่ใช่ 0.6% ถือว่าดอกเบี้ย 1.75% ไม่ปกติและตึงเกินไป เพราะ ธปท. มีเป้าเงินเฟ้อที่สัญญาไว้กับรัฐบาลไทยว่าต้องอยู่ในกรอบ 1-3% หากไม่ถึงเป้าหมายนั้น แปลว่านโยบายตึงเกินไปหรือไม่
...
ปัจจุบัน อัตราเงินเฟ้อยังอยู่ที่ 0.6% (ไม่ถึงกรอบล่างที่ 1% และยังไม่ใกล้เคียงกับค่ากลาง) แต่ดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 2.25% เมื่อลบกันแล้วอยู่ที่ 1.65% ถือว่ายังสูงอยู่
“ธปท. ยังสามารถลดดอกเบี้ยลงได้อีก ยังต้องผ่อนคลายได้มากกว่านี้ เพราะตามเงื่อนไขในกฎหมาย ธปท.ต้องทำให้เงินเฟ้ออยู่ในกรอบ 1-3% ตอนนี้เงินเฟ้อยังไม่ถึง 3% ธปท.ก็ใช้วิธีอธิบายว่าเพราะอะไรจึงไม่ถึง 3% มีความรับผิดชอบอยู่แค่นั้น แต่ไม่ได้โดนอภิปรายไม่ไว้วางใจเหมือนรัฐบาล” แหล่งข่าวกล่าว
เมื่อถามว่า อะไรที่จะทำให้ ธปท.เชื่อมโยงกับประชาชนในการดำเนินนโยบายการเงิน?
แหล่งข่าวกล่าวว่า ขึ้นอยู่กับแนวคิดของเขาว่าเขาอยู่ในสถานะอะไร ถ้าคิดว่าเป็นองค์กรอิสระก็จะทำตัวแบบหนึ่ง ต่อเนื่องจากกฎหมายที่เขียนออกมา ซึ่งกฎหมายที่ปรับปรุงในปี 2551 ระบุว่า ธปท.มีหน้าที่คุมเสถียรภาพทางการเงิน โดย “คำนึงถึงนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาล” เหมือนเป็นเพียงการรับรู้เท่านั้น ต่างจากธนาคารกลางของอังกฤษที่ในกฎหมายของเขาใช้คำว่า work with หรือ “ทำงานร่วมกับรัฐบาล” มีน้ำหนักต่างกัน
สำหรับการลดดอกเบี้ยนโยบายครั้งนี้จะช่วยเหลือประชาชนได้หรือไม่ ตามหลักการ เมื่อ ธปท. ส่งผ่านนโยบายไปยังธนาคารแล้ว ธนาคารก็ต้องทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ลดลง บรรเทาหนี้ให้กับประชาชน คนเป็นหนี้ได้ประโยชน์ อยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ว่าจะลดดอกเบี้ยเงินกู้ให้กับประชาชนอย่างไร
นอกจากนี้ การลดดอกเบี้ยช่วยเพิ่มปริมาณเงินในประเทศ ซึ่งโดยหลักการแล้วจะทำให้บาทอ่อนค่าลง อย่างไรก็ตาม ก่อนหน้าวันที่ 16 ตุลาคม 2567 ที่ ธปท.ประกาศลดดอกเบี้ยนโยบาย ค่าเงินบาทอยู่ 33.29 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ แต่ ณ วันนี้ (18 ตุลาคม 2567) ค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.11 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ เป็นไปได้ว่าตลาดอาจตีความการลดดอกเบี้ยครั้งนี้ยังไม่เพียงพอ