“พร้อมพงศ์” ร้องซ้ำปม “พล.อ.ประวิตร” โดดสภา หอบหลักฐานใหม่ เซ็นชื่อก่อนชิ่งกลับ เหน็บ เป็นจอมยุทธ์เหยียบหิมะไร้รอย สัปดาห์หน้า ร้องซ้ำ ป.ป.ช.-กกต. พร้อมท้าคู่ปรับยอมรับปมคลิปเสียง “ดิไอคอน” เปรยแรง บอสการเมืองไม่ใช่เทวดา แต่เป็นผีเปรต
วันที่ 17 ตุลาคม 2567 นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ อดีตโฆษกพรรคเพื่อไทย ยื่นหนังสือร้องเรียนซ้ำต่อประธานรัฐสภา ถึงกรณี พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ ขัดจริยธรรมร้ายแรงหรือไม่ ว่า เมื่อวานนี้ (16 ตุลาคม 2567) พล.อ.ประวิตร เข้ามาเซ็นชื่อที่อาคารรัฐสภา คาดว่าจะเป็นการจัดฉากหรือไม่ เพราะมีการโชว์บัตรและมีบอดี้การ์ดมาเซ็นชื่อที่ชั้น 2 อีกทั้งปรากฏเป็นภาพข่าวผ่านสื่อต่างๆ หลังจากที่เซ็นชื่อเสร็จก็เดินทางกลับทันที ตนมองว่าอาจผิดกฎหมาย ป.ป.ช. มาตรา 157 หรือไม่ โดยมีหลักฐานชัดเจนจึงต้องยื่นซ้ำเป็นครั้งที่ 2 ทั้งที่สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) และสภาผู้แทนราษฎร
นายพร้อมพงศ์ ระบุต่อไป เห็นได้ชัดว่าทุกครั้งที่มาประชุมสภาตั้งแต่วันที่ 3 กรกฎาคม 2566 ถึง 17 ตุลาคม 2567 เป็นการมาประชุมแบบพญาอินทรีย์ แบบโฉบมา สื่อก็ไม่เห็น และถือว่าเป็นการมาแบบจอมยุทธ์เหยียบหิมะไร้รอย ถือเป็นประจักษ์พยานอย่างหนึ่งว่าการมาประชุม 12 ครั้งของ พล.อ.ประวิตร น่าจะมีปัญหาเหมือนกัน และอยากให้คณะกรรมการจริยธรรมสภาตรวจสอบลายเซ็นทั้งหมดว่าเหมือนกันหรือไม่ และไปตรวจสอบกล้องวงจรปิดว่ามีคนนำสมุดไปให้เซ็นที่รถจะผิดระเบียบหรือไม่ รวมถึงการเสียบบัตรแทนกัน ที่มีอดีต ส.ส.หลายคน ต้องคดีและถูกตัดสิทธิทางการเมือง จึงอยากถามว่าทำได้อย่างไร เพราะ ส.ส. เป็นตัวแทนประชาชน ทำหน้าที่ออกกฎหมาย ถ้า ส.ส. อีกกว่า 400 คน ทำตัวเช่นนี้ สภาคงขาดความเชื่อมั่นจากประชาชน และจะทำให้องค์ประชุมในสภาไม่ครบ ไม่สามารถผ่านกฎหมาย รวมถึงไม่สามารถตรวจสอบรัฐบาลได้ เมื่อมีรัฐบาลที่เข้มแข็ง ก็ต้องมีฝ่ายค้านที่เข้มแข็ง ยืนยันว่าไม่ได้จองล้างจองผลาญ พล.อ.ประวิตร แต่เป็นการทำตามหน้าที่เพื่อประโยชน์สาธารณะ เพราะมีประชาชนร้องมา
...
ส่วนเรื่องที่ 2 ที่นำมาร้อง คือมีการลา 3 ช่วง 8 วัน โดยช่วงแรก เป็นการลาตั้งแต่ 27-29 มีนาคม 2567 ช่วงที่ 2 วันที่ 18-20 มิถุนายน 2567 ช่วงที่ 3 วันที่ 31 กรกฎาคม - 1 สิงหาคม 2567 จากการตรวจสอบข้อมูลเชิงลึกพบว่าวันที่ 31 กรกฎาคม 2567 มีการแจ้งลาไปต่างประเทศ แต่แท้จริงแล้ว พล.อ.ประวิตร เดินทางไปทำบุญที่ จ.นครพนม และการเดินทางไปต่างประเทศก็ใช้เครื่องบินส่วนตัว ซึ่งค่าใช้จ่ายใช้เงินไปหลายล้านบาท การเดินทางทั้งหมด 8 ครั้ง ใช้เงินส่วนไหนของข้าราชการ หากใช้เงินส่วนตัวจะมีรายละเอียดหรือไม่ ขอให้ชี้แจงมา เท่าที่ทราบเครื่องบินส่วนตัวน่าจะเป็นเครื่องเจ้าสัว หากมีสปอนเซอร์และมีการรับทรัพย์เกิน 3,000 บาท ก็จะผิดกฎหมาย ป.ป.ช. เพราะการเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐก็จะถือว่าขัดจริยธรรมร้ายแรง ขอเรียกร้องให้มีการเร่งพิจารณาของคณะกรรมการจริยธรรม โดยเฉพาะประธานรัฐสภา รวมถึงผู้นำฝ่ายค้าน อย่ามัวแต่ไปพิจารณาเรื่องอื่น เพราะเรื่องนี้ประชาชนเดือดร้อน จะเป็นมวยล้มต้มคนดู หรือรัฐสภาจะปกป้องพวกเดียวกันหรือไม่ ดังนั้น ขอให้ช่วยเร่งดำเนินการ
ขณะที่ในสัปดาห์หน้าจะไปยื่นร้องซ้ำกรณี พล.อ.ประวิตร อีกที่ ป.ป.ช. และ กกต. รวมถึงทำหนังสือถึง นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ เพราะข้อบังคับของพรรค ข้อที่ 60-65 เป็นเรื่องจริยธรรม มีการยกมาจากรัฐธรรมนูญส่วนหนึ่ง หากหัวหน้าพรรคทำตัวแบบนี้จะขัดจริยธรรมหรือไม่ และให้คณะกรรมการบริหารพรรคตรวจสอบเรียกประชุม ถ้ามีส่วนช่วยเหลือก็จะมีส่วนผิด พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง ย้ำว่าไม่ใช่เกมการเมือง เป็นการตรวจสอบเพื่อสาธารณะ ถ้า พล.อ.ประวิตร ลาออกเรื่องก็จะจบ และขอให้องค์กรอิสระตรวจสอบเรื่องที่ยื่นไปแล้ว
ขณะเดียวกัน นายพร้อมพงศ์ ยังได้ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีบุคคลที่เป็นคู่ปรับ ซึ่งอาจเกี่ยวข้องกับคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จำกัด ว่า ไม่ทราบ เพราะคู่ปรับตนมีเยอะ ได้ฟังคลิปเสียงแล้ว คนที่เป็นนักการเมือง เป็นลูกผู้ชายอย่างผู้บริหารบริษัท ดิไอคอน ก็ออกมายอมรับแล้ว มีการออกหมายจับบอสทางธุรกิจ 18 คน แต่บอสทางการเมืองนั้นตนเองไม่อยากเรียกเทวดา แต่เรียกว่าผีเปรต เมื่อไหร่จะออกมาแสดงความรับผิดชอบทางการเมือง ออกมาบอกเหตุผลกับพี่น้องประชาชน และตอบคำถามสื่อมวลชนอย่างตรงไปตรงมา ขอถามว่ากล้าหรือไม่
นายพร้อมพงศ์ กล่าวต่อไปว่า ชื่นชมการทำหน้าที่ตรวจสอบของฝ่ายตำรวจ โดยเฉพาะผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) ที่ทำงานฉับไว ส่วนทีมที่รัฐบาลตั้งมาที่มี นายประเสริฐ จันทรวงทอง รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และนางสาวจิราพร สินธุไพร รัฐมนตรีสำนักนายกรัฐมนตรี ร่วมตรวจสอบคดีบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป จากการอ่านดูชื่อคณะกรรมการ เชื่อว่าประชาชนจะเห็นได้ว่ารัฐบาลชุดนี้ปราบปรามทุจริตอย่างจริงจัง
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า สำหรับบริษัท ดิไอคอนกรุ๊ป ทำธุรกิจตั้งแต่ปี 2561 มีผลประกอบการพุ่งสุดขีดระหว่างปี 2563 - ปี 2565 นอกจากบอสธุรกิจที่ถูกจับไปแล้ว ยังมีบอสทางการเมืองที่ต้องจัดการ เป็นเห็บเหาสูบเลือดสูบเนื้อประชาชน ทำให้บ้านเมืองและภาคการเมืองเสียหาย ซึ่งตนกำลังดำเนินการตรวจสอบอยู่เช่นกัน เพราะมีคนร้องสอบคงจะหาช่องทางในการยื่นสอบต่อไป เช่น ป.ป.ช.