ก็ถือว่าพลิกความคาดหมาย เมื่อการแจกเงิน 10,000 บาทให้กลุ่มเปราะบางกว่า 14 ล้านคน เป็นเงินกว่า 145,000 ล้านบาท กลับไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้คึกคักได้อย่างที่คิด แม้การใช้จ่ายของกลุ่มเปราะบางจะคึกคักขึ้นมาบ้าง แต่ผลสำรวจของ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย กลับพบว่าดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคเดือนกันยายนยังลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 การแจกเงิน 10,000 บาท ยังไม่เพียงพอที่จะทำให้คนมั่นใจว่าเศรษฐกิจปรับตัวดีขึ้นแล้ว อย่างที่รัฐบาลโฆษณา สะท้อนจาก ดัชนีความเหมาะสมในการซื้อรถ ซื้อบ้าน และท่องเที่ยว ที่ยังปรับลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เช่นเดียวกัน

ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือนกันยายนอยู่ที่ระดับ 55.3 ลดลงจากระดับ 56.5 ในเดือนสิงหาคม ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ต่ำสุดในรอบ 14 เดือน นับตั้งแต่สิงหาคม 2566 ดัชนีความเชื่อมั่นเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยก็ลดลงมาที่ระดับ 48.8 จากระดับ 50.2 ในเดือนสิงหาคม ต่ำกว่าระดับ 50 เป็นครั้งแรก ถ้าเป็นนักเรียนก็ถือว่าสอบตก ดัชนีความเชื่อมั่นในอนาคตก็ลดลงมาอยู่ที่ระดับ 63.1 จากระดับ 64.3 ลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 เช่นเดียวกัน

ที่น่าเป็นห่วงก็คือ ดัชนีความเชื่อมั่นของหอการค้าไทย ผลสำรวจความคิดเห็นของ ภาคธุรกิจและหอการค้าไทยทั่วประเทศ ช่วงปลายเดือนกันยายนพบว่า ดัชนีความเชื่อมั่นหล่นลงมาอยู่ที่ระดับ 49.4 จากระดับ 50.5 ในเดือนสิงหาคม ปรับตัวลดลงต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ต่ำกว่าระดับ 50 จุดเป็นเดือนแรกในรอบ 1–2 ปี ต่ำกว่าสมัยรัฐบาลลุงตู่ด้วยซ้ำ สะท้อนให้เห็นว่าภาคธุรกิจและหอการค้าไทยทั่วประเทศยังไม่เชื่อมั่นในรัฐบาล แม้จะแจกเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไปแล้ว 145,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้เพิ่มกำลังซื้อที่แท้จริง

เงินสด 145,000 ล้านบาท เหมือนกรวดทรายที่เทลงไปในทะเล ไม่สามารถก่อให้เกิดแม้กระทั่งคลื่นเศรษฐกิจขนาดเล็ก ไม่ต้องไปพูดถึงพายุหมุนเศรษฐกิจขนาดใหญ่ 3 ลูก

...

ผมได้เขียนเสนอรัฐบาลไปหลายครั้ง การกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการแจกเงิน เป็นการตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ทำร้ายประชาชนและทำร้ายประเทศทางอ้อม หนทางเดียวที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างยั่งยืนก็คือ การสร้างงาน เพื่อให้งานสร้างเงิน ให้คนทำงานหาเงิน ไม่ใช่การแจกเงิน หลายสิบปีก่อน อินเดีย ยังจนมากๆ สหประชาชาติ ช่วยเหลืออินเดียด้วยการ จ้างคนเป็นแสนเป็นล้านให้ขุดบ่อบึงขนาดใหญ่ทั่วประเทศในหน้าแล้ง คนก็งงกันใหญ่ไปขุดบ่อในหน้าแล้งทำไม ก็ขุดไว้ล่วงหน้าสำหรับเก็บน้ำฝนในหน้าฝนที่จะมาถึงเมื่อมีน้ำ ในน้ำก็มีปลา ในนาก็มีข้าว ประชาชนมีกินมีใช้อย่างมีเกียรติมีศักดิ์ศรี ไม่ต้องแบมือขอเงินใคร ผู้นำเก่งจะมองการกระตุ้นเศรษฐกิจแบบนี้

แต่ รัฐบาลเพื่อไทยคิดอย่างเดียว คือ แจกเงิน อ้างว่ากระตุ้นเศรษฐกิจ แต่แท้จริงก็คือการซื้อคะแนนนิยมทางอ้อม โดยใช้เงินภาษีของประชาชน แต่อนาคตของประชาชนไม่ได้ดีขึ้น

แม้ มหาวิทยาลัยหอการค้าไทย จะแถลงผลสำรวจแล้วว่า การแจกเงิน 145,000 ล้านบาทเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ไม่ได้ส่งผลต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจ เงินแจกกว่าครึ่งถูกเจ้าหนี้นอกระบบหักไปใช้หนี้ กลุ่มเปราะบางเหลือเงินใช้จ่ายคนละไม่ถึง 5 พันบาท แต่รัฐบาลเพื่อไทยก็ยังเดินหน้าใช้วิธีนี้กระตุ้นเศรษฐกิจต่อ กลุ่มใหม่ที่จะกระตุ้นต่อไป ก็คือกลุ่ม “ชนชั้นกลาง” ผู้เสียภาษีให้รัฐบาลเป็นหลัก

คุณเผ่าภูมิ โรจนสกุล รัฐมนตรีช่วยคลัง เปิดเผยว่า จะเสนอ คณะกรรมการนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ ที่มี นายกฯแพทองธาร ชินวัตร เป็นประธาน ปลายเดือนนี้ เพื่อออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยการ “ช็อปปิ้งลดหย่อนภาษี” หรือ Easy e–Receipt ในช่วงปลายปีนี้

ก็หวังว่าคงจะ “ไม่แป้ก” เหมือนแจกเงิน 10,000 บาทนะครับ.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม