ลมหนาวโชยมาแผ่วๆเริ่มสัมผัสได้ถึงอากาศเย็น เป็นไปตามที่กรมอุตุนิยมวิทยาออกประกาศ ประเทศไทยจะเข้าสู่ฤดูหนาว ประมาณปลายสัปดาห์ที่ 3 ของเดือนตุลาคม 2567 คาดอุณหภูมิลดต่ำ หนาวยะเยือกกว่าปีที่ผ่านมา

อากาศปลายฝนต้นหนาว ตามสถานการณ์น้ำท่วมเขตพื้นที่ภาคเหนือตอนบนได้ลดระดับพ้นจุดวิกฤติ จังหวัดเชียงราย พะเยา เชียงใหม่ ลำพูน ลำปาง ที่เจอฤทธิ์ “Rain Bomb” น้ำป่าหลากท่วมเมือง สาหัสสากรรจ์

ประชาชนล้างบ้าน เคลียร์โคลน โดยไม่ต้องกังวลน้ำท่วมซ้ำ

เริ่มนับหนึ่งกระบวนการฟื้นฟูที่อยู่อาศัย สำนักงาน ร้านค้า แหล่งทำมาหากิน ตั้งหลักยืนกันใหม่ เดินหน้าสู้ชีวิตกันต่อไป

ในจังหวะที่รัฐบาลต้องเข้าไปช่วยประคองกันสุดกำลัง ตามสภาพความเสียหายที่สมาคมธุรกิจต่างๆ ประเมินมหาอุทกภัยภาคเหนือปีนี้ ได้ก่อความยับเยินทางเศรษฐกิจมากกว่า 3–4 หมื่นล้านบาท

โดยเฉพาะโอกาสในการสร้างรายได้จากภาคการท่องเที่ยว

ข้อมูลทางการอย่างที่นายธนวรรธน์ พลวิชัย อธิการบดีมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย เปิดผลสำรวจดัชนีความเชื่อมั่นหอการค้าไทยเดือนกันยายน ตัวเลขหดตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7 ติดต่อกัน

“น้ำท่วม” ทำลายดัชนีความเชื่อมั่น ซ้ำยังกลบกระแสเทกระจาดเงินหมื่น

กดทับอาการซึมยาว ไร้สัญญาณเศรษฐกิจฟื้น

บวกลบคูณหาร เม็ดเงินมหาศาลที่รัฐบาลต้องเยียวยา ฟื้นฟู ชดเชยวิกฤติน้ำท่วมโหดขนาด “ช้างจมน้ำตาย” กลายเป็นงานช้างของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องแก้โจทย์ฉุกเฉินซ้อนโจทย์โคตรหิน

กดดันเชิงบริหารจัดการของผู้นำที่ถูกปรามาสมือใหม่

ก่อนอื่นเลย ต้องรีบเยียวยา มติ ครม.ล่าสุด ไฟเขียว เร่งจ่ายเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมแบบ “เหมาจ่าย” ในอัตราเดียวคือ 9,000 บาท ภายใต้กรอบวงเงินงบประมาณ 3,045 ล้านบาท

...

อัดฉีดซับน้ำตา ผ่อนคลายดีกรีความเครียดของชาวบ้าน

ผ่องแรงกดดัน สถานการณ์รัฐบาลลูกสาว “เถ้าแก่ใหญ่” ต้องเคลียร์โจทย์ภัยพิบัติภาวะ “โลกเดือด” ไปพร้อมๆกับการบริหารภาวะปากท้อง แบกความหวังยี่ห้อ “ทักษิณ” คืนโปรโมชัน อยู่ดี กินดี มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี

ในสภาพเศรษฐกิจจ่อ “ถังแตก” งบประมาณประเทศจำกัด จำเขี่ยหนี้สาธารณะทะลักเพดาน มีแต่ รายจ่ายสวนทางรายได้หดหาย

“โคตรประชานิยม” อัดงบหลวงหาเสียงไม่ได้มันมือเหมือนอดีต

ประตูปิดล็อกแน่นหนา ไม่ให้เข้าถึงชั้นความปลอดภัย “คลังแผ่นดิน” ง่ายๆปรากฏการณ์แบบที่เกิดกระแสต้านคนของฝ่ายการเมืองยุ่มย่ามขุมสมบัติปู่โสมฯ สกัด “นอมินี” เพื่อไทยยึดแท่นบอร์ดแบงก์ชาติ

โอกาสเสี่ยงชนวนไวไฟ จุดม็อบต้านระบอบทักษิณลุกพึ่บพั่บ

ณ จุดที่เต็มไปด้วยแรงเสียดทาน ต่อให้ น.ส.แพทองธารมีตัวช่วยอย่างนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯในตำนาน คอยประคองเกมบริหารเศรษฐกิจ สไตล์ การตลาดนำการเมือง มันไม่ได้ง่ายเหมือนยุคอดีตรัฐบาลไทยรักไทยรุ่งเรือง

ในภาวะพลังขับเคลื่อนทางการเมืองของ “นายใหญ่” ไม่เข้มขลังเท่าเดิม

ตามกฎธรรมชาติของสังขารและกาลเวลา ประมุขใหญ่ “จันทร์ส่องหล้า” ที่ถูกโค่นกระดานอำนาจไปอยู่แดนไกลนับสิบปี ขาดช่วงการเสริมฐานเกมเลือกตั้ง

อยู่ในวงล้อม “นิติสงคราม” สมรภูมิที่เพื่อไทยพลาดท่าเป็นส่วนใหญ่

ถึงตรงนี้ก็ไม่มีหลักประกันความชัวร์ พ่อ “ผู้ครอบครอง” ยังไม่สามารถสร้างเซฟโซน “กล่องดวงใจ” ตามความพยายามในการสร้างแนวกำแพงปกป้อง “ไข่ในหิน” อย่าง “นายกฯอิ๊งค์” จากขบวนการไล่เจาะยาง

ผวาทุกครั้งที่ถูกขบวนการ “นักร้องเสียงทอง” ดักจับผิด

แม้แต่ช็อตล่าสุดที่นายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ทนายความคู่บารมี “พุทธะอิสระ” ขาใหญ่ก๊วน กปปส. มือล้มโต๊ะพรรคก้าวไกล โผล่ยื่นคำร้องศาลรัฐธรรมนูญ ขอให้วินิจฉัย สั่งให้นายทักษิณและพรรคเพื่อไทย

เลิกการกระทำที่เป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพ นำไปสู่การล้มล้างการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

ล็อกเข้าข่ายความผิด เซาะกร่อนบ่อนทำลายคลับคล้ายกองทัพส้ม

อารมณ์นักร้อง “มาตามนัด” แต่ไม่สมราคาที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการค่ายพลังประชารัฐ “หัวหน้าวง” ตีปี๊บปั่นกระแสใหญ่โต จนคนดูหูตาตื่น เพราะเอาจริงๆข้อหายังเลื่อนลอย โดยเฉพาะหลักฐานทีเด็ด “คลิปวิดีโอ” การจัดรัฐบาลในคฤหาสน์จันทร์ส่องหล้า

ไม่ชัดว่าจะมัด “ผู้ครอบครอง” เป็น “ผู้ครอบงำ” ได้ตรงไหน

แต่แค่หยอด “สารตั้งต้น” ก็ทำให้ “นายใหญ่” เพื่อไทยเสียวสันหลังก็แล้วกัน

เพราะ “ภูมิคุ้มกันตก” เมื่อไหร่ อาการแทรกซ้อนกำเริบได้ทันที

ณ ตอนนี้ แนวรบนิติสงครามยังอยู่ในโซนเบาบาง จังหวะลดโทนความเข้มข้นลงตามพลังอำนาจของ “ลุงในป่าฯ” สถานะ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าค่ายพลังประชารัฐ ที่โดน “นายใหญ่” ไล่ต้อนจนถอยร่น

ระดับความเข้มขลังขุมอำนาจ 3 ป.หดหายลงตามสังขาร

ยุค “ทหารเฒ่า” เรืองอำนาจเจือจาง พร้อมๆกับพลังแฝงท็อปบูตที่แปรรูปขบวนกลับที่ตั้ง ถอยห่างจากป้อมค่ายการเมือง คสช. จังหวะ 2 น. “เซ้งสูตร” ต่อ เคลมสิทธิอำนาจแทน 3 ป.

ราคาหุ้น ดุลการเมืองไหลไปตกอยู่ที่ค่ายภูมิใจไทย โดยการนำของ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย หัวหน้าพรรค ภายใต้กำกับของ “ครูใหญ่” นายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสรบุรีรัมย์ยูไนเต็ด ผู้มีบารมีเหนือค่ายเซราะกราว

เสกเป่า ร่ายมนตร์สะกด “สว.น้ำเงิน” เป็นหุ่นพยนต์กำกับอำนาจในกำมือ

ฟอร์มเดียวกัน แต่เปลี่ยนรูปแบบเป็น “สว.ฮั้วตั้ง” สลับฉากแทน “สว.ลากตั้ง” ในการคุมด่านวุฒิสภา ทั้งบล็อกเส้นทางผ่านกฎหมาย โดยเฉพาะการแต่งตั้งผู้ดำรงตำแหน่งสำคัญใน องค์กรอิสระ

คุมตั๋ว แจกบัตรคิว คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) คณะกรรมการป้องกันและปราบ ปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.)ไปยันการแต่งตั้ง “อรหันต์ทองคำ” ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ฯลฯ

2 น. เกรียนเซราะกราว คุมด่าน “ค่ายกลซือแป๋มีชัย”

โชว์ลูกเขี้ยว ระดับโคตรเซียนการเมืองในตำนาน เบียดแซงปาดหน้าขึ้นมาชิงธงนำขบวนโหนอำนาจอนุรักษ์นิยม

บีบเกม “นายใหญ่” ต้องยอมข่มอารมณ์

ต่อสายให้ “เสี่ยหนู” ชวน “เนวิน” เข้าคฤหาสน์จันทร์ส่องหล้า ลงทุนเปิดไวน์ฉลอง “เบิร์ธเดย์บอย” เลี้ยงวันคล้ายวันเกิดให้เจ้าของประโยคอมตะ “มันจบแล้วครับนาย”

แสร้งลืมปมเก่าๆ ปะหน้าอดีต “ลูกน้องสนิท” ที่ผิดใจกันไปเกือบ 20 ปี

“เถ้าแก่ใหญ่-ครูใหญ่” รีเทิร์นจูบปาก เป็นช็อตฮือฮาทั้งเมือง

ตามท้องเรื่องที่จับทางได้ ต่างฝ่ายต่างรักษาทรง กั๊กเชิง แบบที่ทีมจันทร์ส่องหล้าเล่นแต้ม เป็นฝ่ายเรียก “เนวิน” มาเอง ขณะที่ฝั่ง 2 น. ก็ปิดข่าวการเจอ “นายใหญ่” กว่าที่ “เสี่ยหนู” จะยอมรับเพราะอีกฝ่ายกระพือกระแส ปล่อยข่าวล่อสื่อบี้เค้นคอถาม

เหลี่ยมเจอเขี้ยว สะท้อน “รอยร้าว” ลึก เชื่อมยังไงก็ไม่ติด

แต่จำต้องกัดฟัน จูบปาก ประคองกันไปเพื่อลากเกมอำนาจและผลประโยชน์

“ทักษิณ–เนวิน” อ่านไต๋กันขาด ยังไงก็ไม่กล้าหักกลางลำ

ตราบใดที่เดิมพันยังต่อรองกันได้ ทั้งคิวรื้อรัฐธรรมนูญมรดก คสช. การแชร์โควตาองค์กรอิสระ แลกขนมแบ่งเค้ก เอนเตอร์เทนเมนต์ คอมเพล็กซ์ บ่อนพนันเสรี กัญชาสายควัน ฯลฯ

จังหวะต้องจูนคลื่นให้ตรงกัน พลาดพลั้งเดี๋ยววงแตกจริง.

“ทีมการเมือง”

คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม