ไขปริศนาออกมาแล้ว ปริศนาที่นายไพบูลย์ นิติตะวัน เลขาธิการพรรคพลังประชารัฐ ขู่ไว้ล่วงหน้าหลายวันมาแล้ว ว่าพรรคเพื่อไทยจะเจอจุดจบ และกระทบถึงรัฐบาลในวันที่ 10 ตุลาคม ปริศนาที่เผยออกมาคือการที่ทนายความคนหนึ่ง ยื่นคำร้องต่อศาลรัฐธรรมนูญ กล่าวหานายทักษิณ ชินวัตร กับพรรคเพื่อไทย กระทำผิดกฎหมายร้ายแรง

ทนายผู้ยื่นคำร้องไม่ใช่คนหน้าใหม่ เขาชื่อนายธีรยุทธ สุวรรณเกษร ที่เคยร้องให้ยุบพรรคก้าวไกลสำเร็จมาแล้ว พร้อมทั้งตัดสิทธิทางการเมืองของนักการเมืองดังๆ เช่น นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล คราวนี้ยื่นคำร้องที่มีความหนาถึง 500 หน้า กล่าวหาอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ เป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทย

ทั้งครอบครองและครอบงำพรรค ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นเครื่องมือทางการเมือง เป็นความผิดตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่ระบุว่า “บุคคลจะใช้สิทธิหรือเสรีภาพ เพื่อล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขมิได้ และยังกล่าวหาว่ากระทำผิด พ.ร.ป.พรรคการเมืองในเรื่องสำคัญ

นั่นก็คือมาตรา 28 ห้ามมิให้พรรคการเมืองยินยอม หรือทำให้บุคคลอื่นที่มิใช่สมาชิกพรรค กระทำการอันเป็นการควบคุม ครอบงำ หรือชี้นำกิจกรรมของพรรคในลักษณะที่ทำให้พรรคหรือสมาชิก ขาดความอิสระ และยังมีมาตรา 29 ห้ามบุคคลที่มิใช่สมาชิกพรรคทำการควบคุม ครอบงำหรือชี้นำพรรค ไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือทางอ้อม

คนนอกหรือผู้ใดที่มิใช่สมาชิกพรรค จะต้องรับโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 10 ปี ถ้าทำการครอบงำหรือครอบครองพรรค แต่กล่าวโดยสรุปก็คือ นายทักษิณและพรรคเพื่อไทยถูกกล่าวหา กระทำผิดกฎหมายอย่างน้อย 2 ฉบับ คือรัฐธรรมนูญข้อหาล้มล้างการปกครองระบอบประชาธิปไตย กับกฎหมายพรรคการเมือง ข้อหาครอบงำพรรค

นายทักษิณเคยถูกนักข่าวถามว่า กลัวข้อหา “ครอบงำ” พรรคหรือไม่ หรือข้อหา “ครอบงำ” นายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร หรือไม่ อดีตนายกรัฐมนตรีตอบแบบทีเล่นทีจริงว่าผมไม่ได้ “ครอบงำ” แต่ “ครอบครอง” นายกฯเพราะเป็นลูก ต้องดูว่าในคำร้องจะมีข้อหา “ครอบครอง”

...

มีรายงานที่ยังไม่มีการยืนยัน ระบุว่าเหตุที่ถูกฟ้อง เพราะพรรคเพื่อไทยเสนอขอแก้ไขรัฐธรรมนูญ ทั้งแก้ไขทั้งฉบับและรายมาตรา แต่ยอมถอยไม่แก้ไขรายมาตรา รวมทั้งประเด็น “ฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง” และการแก้ทั้งฉบับก็ดูเหมือนจะยังไม่ได้เสนอต่อสภา แต่อาจถือว่าเป็นความผิดสำเร็จแล้ว จะเป็นประเด็นที่ต้องโต้เถียงกันต่อไป.

คลิกอ่านคอลัมน์ “บทบรรณาธิการ” เพิ่มเติม