อุทกภัย โคลนถล่มเมือง เพลิงไหม้รถบัสนักเรียนตายหมู่ ดิน น้ำ ลม ไฟ เหตุมฤตยูโหดๆถาโถมไม่หยุด มหันตภัยโหมกระหน่ำติดๆกัน สภาพกดดันจนอั้นไม่ไหว อารมณ์ธรรมชาติ “นายกฯอิ๊งค์” น.ส.แพทองธาร ชินวัตร ผู้นำหญิงอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ประเทศไทย ถึงกับจุกอก ต่อมน้ำตาแตก ไหลออกมาเองโดยอัตโนมัติ

โดยเฉพาะอาการสะเทือนใจของ “แม่ลูกสอง” สะอื้นไห้ทันทีที่ได้รับรายงานเหตุสลด เด็กเล็กและครูเสียชีวิตพร้อมกัน 23 ศพ ในอุบัติเหตุรถทัศนศึกษาของนักเรียนจาก จ.อุทัยธานี เกิดอุบัติเหตุย่านชานเมืองกรุงเทพฯ

สะเทือนขวัญประชาชนคนไทย ข่าวช็อกกันทั่วโลก

เหตุไม่คาดฝัน สถานการณ์ฉุกเฉินเฉพาะหน้าที่แทรกมากระตุกกระแสผู้คนในสังคม อารมณ์รัฐบาลต้องรีบปลอบขวัญ เร่งเยียวยาครอบครัวผู้สูญเสียทั้งในด้านจิตใจและช่วยเหลือค่าชดเชยคนตายและบาดเจ็บ

ตามฟอร์มแบบไทยๆ เกิดเหตุสูญเสียใหญ่หลวง ก็วิ่งล้อมคอกกันหัวปั่น

ไล่บี้ไล่เบี้ยหาคนผิดรับผลบาปกรรม ถอดบทเรียนซ้ำๆซากๆ แต่เหมือนไม่เคยจำใส่กะโหลก จนประเทศไทยติดอันดับเบอร์ต้นๆของโลกที่มีสถิติการสูญเสียมากสุดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน

คนตายหลักหมื่นต่อปี สูญเสียทางเศรษฐกิจนับแสนล้าน

ต้นเหตุมาจากพฤติการณ์ของคนมักง่ายเห็นแก่ตัว ผู้ประกอบการเห็นแก่ได้ ข้าราชการเห็นแก่สินบน ประชาชนรับเคราะห์

คุณภาพชีวิตคนไทยแขวนอยู่บนวงจร “คอร์รัปชัน”

บรรยากาศ “บัสมรณะ” ทำให้โลกเมืองไทยหยุดหมุนชั่วขณะ ในจังหวะที่มหันตภัยโคลนถล่ม ฉากน้ำป่าหลากท่วมเมืองยังไม่หยุดหลอน

ชาวบ้านไม่ได้หลับไม่ได้นอน เจอวิกฤติซ้ำรอบสองรอบสาม

ตามปรากฏการณ์ที่ชาวแม่สาย จ.เชียงราย ยังไม่ทันล้างบ้าน เคลียร์ซากปรักหักพังของเดิม ก็ต้องรีบหนีน้ำป่ารอบใหม่ทะลักรอยเดิม สภาพเดียวกับพื้นที่เมืองเชียงรายที่เจอทั้งน้ำป่าและแม่น้ำกกล้นตลิ่ง

...

ไม่ต่างจากสถานการณ์แม่น้ำปิงล้นตลิ่งท่วมเมืองเชียงใหม่ น้ำป่าหลากท่วมเขตเศรษฐกิจ ไหลทะลักต่อเมืองลำพูน อ่วมหนัก ลำปาง พะเยา น่าน ฯลฯ อิทธิฤทธิ์ “โลกเดือด” สภาพอากาศสุดขั้ว ปรากฏการณ์ “Rain Bomb” ฝนตกแช่ ตกหนักไม่หยุดข้ามวัน ข้ามคืน น้ำป่าหลาก ดินถล่ม น้ำท่วมรอระบาย

ตามฉากน้ำถล่มภาคเหนือตอนบนชวน “ขนหัวลุก” กระตุกอาการผวา คนพื้นที่ลุ่มภาคกลางปลายทางที่จะต้องรับน้ำเป็นสถานีต่อไป พากันอยู่ไม่เป็นสุข

และที่ลุ้นตัวโก่งก็คือคนเมืองกรุง “เดจาวู” ฉากหลอนมหาอุทกภัยปี 54

ตามสถานการณ์เร้าระทึกแบบที่ น.ส.แพทองธาร ต้องรีบนำคณะชุดใหญ่ไปตรวจเช็กสถานการณ์น้ำแบบ “เรียลไทม์” ที่กรมชลประทาน ปากเกร็ด รับรายงานจากหน่วยราชการ ยืนยันว่า “เอาอยู่” น้ำไม่ท่วมกรุงเทพฯเหมือนยุค “อาปู” อดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แน่นอน

เป่าปาก ถอนหายใจ แต่ก็ยังวางใจไม่ได้ อากาศสุดขั้วไม่มีอะไรชัวร์

ณ จุดที่เป็นอยู่แค่นี้ น้ำป่าหลาก ดินโคลนถล่ม เชียงราย เชียงใหม่ หัวเมืองเศรษฐกิจภาคเหนือ ก็สร้างความเสียหายมหาศาล

“ผู้นำมือใหม่” ลงพื้นที่ซับน้ำตากันไม่หวาดไม่ไหว

โจทย์หนักหนาสาหัสในการวางแผนการฟื้นฟู การจ่ายเยียวยาชดเชยผู้ประสบภัย ต้องใช้เม็ดเงินงบประมาณมหาศาล งบฉุกเฉิน งบกลาง ต้องจัดวางลำดับความสำคัญกันใหม่

จากภัยพิบัติทางธรรมชาติที่กลายเป็น “วิถีปกติใหม่” ของประเทศไทยและทั่วโลกต้องเผชิญภาวะ “โลกเดือด” สภาพสิ่งแวดล้อมที่ไม่เหมือนเดิมนับแต่นี้ไป

และนั่นจะกลายเป็นปัจจัยกดทับซ้ำสภาพเศรษฐกิจ จากวิกฤติหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แนวโน้มยิ่งเป็นโจทย์โหดหินขึ้นไปใหญ่ ในสถานการณ์ของประเทศที่มีแต่รายจ่าย สวนทางกับรายได้

เมืองไทยติดกับดัก “จนดักดาน” ลึกลงไปทุกที

ตามภาพข่าวแบบที่ประชาชนกลุ่ม “เปราะบาง” ทั่วประเทศ ต่อคิวแถวยาวเหยียดหน้าตู้เอทีเอ็ม กดเงินสดที่รัฐบาลจ่ายให้ 1 หมื่นบาท

เพื่อช่วยให้ยังชีพรายวัน ประทังชีวิตคนหาเช้ากินค่ำ

ใช้วิธี “อัฐยายซื้อขนมยาย” อัดฉีดเงินเข้าสู่ระบบ กระตุ้นสภาพคล่อง ให้เกิดการใช้จ่ายหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจภายใน

ยังไม่ชัวร์จะกระตุ้นชีพจรให้กลับมาเต้นได้แค่ไหน

จาก “พายุหมุน” ที่กลายเป็นแค่ “หย่อมความกดอากาศต่ำ” เงินอนาคต “ดิจิทัลวอลเล็ต” แปลงเป็นระบบโบราณ “เทกระจาดผ่านตู้เอทีเอ็ม”

ตราบใดที่ปมปัญหาแท้จริงคือ “โครงสร้างทางเศรษฐกิจ” ของไทยยังไม่ได้ยกระดับความสามารถในการแข่งขัน รองรับเทรนด์การลงทุนโลกยุคใหม่ ในยุคเทคโนโลยีเอไอและเน้นการรักษาสิ่งแวดล้อมเป็นสำคัญ

แต่ที่แน่ๆ “โคตรประชานิยม” มันยังได้ผลชะงัดทางการเมือง

วัดจากตัวเลข “นิด้าโพล” คะแนนนิยมของ น.ส.แพทองธาร ดีดขึ้นทันตาเห็น เด้งเป็นอันดับหนึ่งที่ประชาชนหนุนให้นั่งแท่นนายกรัฐมนตรี

ได้แต้มความตั้งใจแก้ปากท้องประชาชน ทำตามที่พูด แจกจริงจ่ายจริง

ตามจังหวะที่ทีมเพื่อไทยได้เหลี่ยมตีปี๊บ หามแห่ผู้นำหญิงคนสุดท้องตระกูลชิน โพนทะนาความสำเร็จกันยกใหญ่ แต่ในมุมกลับกัน ผู้เชี่ยวชาญด้านโพลของนิด้า วิเคราะห์ตัวเลขของ “นายกฯอิ๊งค์” ที่เด้งขึ้นจากการเทกระจาดเงินหมื่นให้กลุ่มเปราะบาง ถือเป็นแรงกดดันรัฐบาล “เถ้าแก่ใหญ่” หนีไม่ออกในการจ่ายเงินหมื่นเฟส 2

ช็อตต่อไปอีก 30 กว่าล้านรายที่แหงนคอรอฝนตก ไม่ทั่วฟ้า

ถ้าเบี้ยวเงินหมื่นหรือจ่ายเหลือแค่ 5 พันบาท ลดน้อยลงกว่ารอบแรก น.ส.แพทองธาร และพรรคเพื่อไทยโดนถล่มเละแน่

ตามอาการอิดๆออดๆแบบที่ “เสี่ยหนิม” นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รมช.คลัง ยังไม่สรุปการแจกเงินเฟส 2 จะแจก 5 พัน หรือ 1 หมื่นบาท

ดึงเช็ง เด้งเชือก ยังไม่รู้จะซิกแซ็กงบฯจากตรงไหนมาโปะ

รัฐบาลเพื่อไทยยังเล่นแร่แปรธาตุเงินหลวงบริหารเศรษฐกิจ ไปพร้อมๆ กับการเล่นแต้มทางการเมือง

ตามท้องเรื่องโยงกับ “ดีลอำนาจ” อนุรักษ์นิยมที่ยังไม่อยู่ในจุดเสถียร

เพี้ยนไปเพี้ยนมาตามเกมการต่อรองผลประโยชน์ ตามปรากฏการณ์พิลึกพิลั่นแบบที่ “นายใหญ่” เจอฤทธิ์เดชของก๊วนเซราะกราว “เกรียนหักเหลี่ยม” ไม่เอาด้วยกับเกมการันตีความปลอดภัย “ไข่ในหิน”

ค่ายภูมิใจไทยไม่ร่วมเป็นร่วมตายกับพรรคเพื่อไทยในการ “แหกวงล้อม” สมรภูมิ “นิติสงคราม” ที่ขึงพืด น.ส.แพทองธารอยู่ในโซนอันตราย

อาการเขี้ยวแบบที่ “เสี่ยหนู” นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและ รมว.มหาดไทย หัวหน้าก๊วนเซราะกราว ภูมิใจไทย โชว์หล่อ ไม่เอาด้วยกับการรื้อปม “จริยธรรม”

จังหวะต่อเนื่องกับปาฏิหาริย์ “มนต์เขมร” เสก “สว.ซอมบี้”

สะกด “สว.ฮั้วตั้ง” ชักแถวโหวตหักลำสภา รื้อร่าง พ.ร.บ.ประชามติ โดยเฉพาะที่เกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญต้องมีผู้มาใช้สิทธิออกเสียงเป็นจำนวนเกินกึ่งหนึ่งของผู้มีสิทธิออกเสียง และมีจำนวนเสียงเกินกึ่งหนึ่งของผู้มาใช้สิทธิในเรื่องที่จัดทำประชามติ

ล็อกประตูเหล็ก 3-4 ชั้น ในการรื้อค่ายกล “ซือแป๋มีชัย”

ก๊วนเซราะกราว ภายใต้การกำกับ “ครูใหญ่” บุรีรัมย์ พลิกบทเป็นองครักษ์พิทักษ์ดาบวิเศษของขบวนอำนาจอนุรักษ์นิยม

ดัน “สว.ฮั้วตั้ง” สลับฉาก “สว.ลากตั้ง” บล็อกสภาสูงคุมเกมออกกฎหมาย ล็อกโหวตองค์กรอิสระ

“2 น.” เคลมสิทธิแทน “3 ป.” ในจังหวะ “บิ๊กป้อม” พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าค่ายพลังประชารัฐ โดนต้อนสุดกระดาน ภูมิใจไทยเบียดเพื่อไทย ขึ้นชิงธงนำในเกมรบกับกองทัพส้ม ฝ่ายเสรีนิยม

เล่นสมบทบาท โชว์ลำหักลำโค่นได้สมจริงสมจัง ถูกใจฝ่ายคุมเกมอำนาจ

เริ่มชิง “ความไว้วางใจ” ได้เหนือกว่า “เถ้าแก่ใหญ่”.

“ทีมการเมือง”

คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม