“ภูมิธรรม” มอง “นายกฯ แพทองธาร” ต้องทำงานพิสูจน์ตัวเองต่อ หลังได้ผลโพลอันดับ 1 ย้ำ ต้องคุยหัวหน้าพรรคการเมืองปมแก้รัฐธรรมนูญ หลัง ส.ว. ลงมติให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น เพื่อให้ได้ข้อยุติในการทำประชามติ

เมื่อเวลา 07.30 น. วันที่ 1 ตุลาคม 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวถึงกรณีผลสำรวจนิด้าโพล ที่คนส่วนใหญ่สนับสนุนให้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี อันดับ 1 ว่า โพลก็เป็นการหยั่งกระแสและสำรวจความคิดเห็น มีหลายสำนัก แต่การที่จะทำให้ น.ส.แพทองธาร ได้รับความนิยมเพิ่มขึ้นน่าจะมาจากผลการทำงาน เพราะตอนแรกที่เข้ามาก็ยังไม่มีใครรู้ ไม่มั่นใจว่าจะสามารถทำอะไรได้ เนื่องจากอายุยังน้อยเมื่อเปรียบเทียบกับประวัติศาสตร์ที่ผ่านมาของรัฐบาล แต่จริงๆ ก็เป็นเทรนด์ของโลก ผู้นำสมัยใหม่ต้องการคนที่มีประสบการณ์ มีความรู้ ความสามารถ แต่ขณะเดียวกันก็เปิดโอกาสให้คนรุ่นใหม่ๆ ที่มีศักยภาพ ซึ่งผู้นำโลกหลายส่วนก็มีอายุประมาณ 40 ปีไม่เกิน 50 ปี เป็นการพิสูจน์ว่า อย่างน้อยนายกรัฐมนตรีก็เป็นผู้ที่ตั้งใจอยากจะทำงาน และทำให้เกิดประโยชน์ เมื่อทำแล้วทำให้ประชาชนเกิดความรู้สึกชื่นชม ยินดี ผลโหวตก็ออกมาแบบนี้

ผู้สื่อข่าวถามว่าเป็นเพราะ นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) แบบบัญชีรายชื่อ หัวหน้าพรรคประชาชน ยังมีกระแสไม่ค่อยดี ไม่เป็นที่รู้จักเมื่อเทียบกับ นายพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ อดีตหัวหน้าพรรคก้าวไกล จึงทำให้คะแนนของ น.ส.แพทองธาร ขึ้นนำหรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่กล้าไปพิจารณาของพรรคอื่นๆ

ส่วนกรณีที่ นายชูศักดิ์ ศิรินิล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฝ่ายกฎหมายรัฐบาล เสนอให้คุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ เพื่อกำหนดแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ กรณีสมาชิกวุฒิสภา (สว.) แก้ไขร่างพระราชบัญญัติว่าด้วยการออกเสียงประชามติ (ฉบับที่..) พ.ศ. .... ให้ใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น จะส่งผลให้การแก้รัฐธรรมนูญมีการแก้ยากลำบากขึ้น นายภูมิธรรม ระบุว่า คงต้องมีการหารือกับหัวหน้าพรรคการเมืองตามที่ นายชูศักดิ์ เสนอ กรณีที่ สว. มีมติใช้เสียงข้างมาก 2 ชั้น ก็ต้องดูขั้นตอนต่อไปว่ามีการตั้งกรรมาธิการร่วม 2 สภา ผลจะออกมาเป็นอย่างไร ซึ่งระหว่างนี้ต้องคุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองว่ามีความคิดเห็นอย่างไร เพราะความเห็นของเราและ สว. ไม่ตรงกัน

...

เมื่อถามต่อไปว่าการคุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองต่างๆ จะส่งผลกับ สว. อย่างไร นายภูมิธรรม ตอบว่า ไม่เกี่ยวกับว่าจะไปส่งผลกับ สว. แต่เป็นการคุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อเป็นการทำความเข้าใจ ขณะที่คำถามจะมีการคุยกับหัวหน้าพรรคการเมืองเพื่อให้เกิดสัญญาประชาคมและไม่ให้มีการบิดพลิ้วในภายหลังใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า ไม่ใช่ แค่ต้องการให้เกิดการหารือกัน เมื่อ สว. ตัดสินใจออกมาแบบนี้ สถานการณ์การเมืองเป็นแบบนี้ พรรคการเมืองต่างๆ ที่ร่วมรัฐบาลจะมีความเห็นอย่างไร แต่ขณะนี้ยังไม่ได้นัด

ในประเด็นคำถาม รู้สึกอย่างไรที่เป็นโต้โผในการแก้รัฐธรรมนูญทั้งฉบับมาตลอด 1 ปี แต่สุดท้ายเหมือนกลับมาเริ่มต้นใหม่ นายภูมิธรรม กล่าวว่า เราต้องเข้าใจความแตกต่างของแต่ละหน่วยงาน ต้องทำความเข้าใจกันให้มากขึ้น นอกจากหัวหน้าพรรคการเมืองแล้ว ประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาล (วิปรัฐบาล) ก็ต้องมีการหารือกับประธานวุฒิสภาด้วย ให้เกิดความเข้าใจว่าสิ่งที่เรากำลังทำคืออะไร แล้วจะเป็นประโยชน์อย่างไร และ สว. ที่เห็นแตกต่างเห็นในแง่มุมไหน ซึ่งตนคิดว่าหากคุยกันจะหาข้อยุติได้

สำหรับเรื่องที่ สว. กลับมาใช้มติเสียงข้างมาก 2 ชั้น จะส่งผลให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับไม่เสร็จในรัฐบาลนี้ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม บอกว่า อย่าเพิ่งไปไกล อย่าเพิ่งสรุป เมื่อถามอีกว่าการทำประชามติหากไม่ตรงกับการเลือกตั้งองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ในต้นเดือนกุมภาพันธ์ 2568 ใครจะได้ ใครจะเสีย นายภูมิธรรม กล่าวว่า จริงๆ ทุกอย่างเป็นไปตามกระบวนการ เราต้องการเร่งทำประชามติไปพร้อมกับการเลือกตั้ง อบจ. แต่ในเมื่อมีความเห็นต่าง ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่ต้องทำความเข้าใจ

ทางด้านคำถามว่า นายชูศักดิ์ อาจจะลดขั้นตอนการทำประชามติจาก 3 ครั้ง เหลือ 2 ครั้ง เพื่อลดเวลา นายภูมิธรรม ตอบว่า ต้องถามนายชูศักดิ์ อย่างไรก็ตาม เมื่อถามถึงข้อเสนอดังกล่าว นายปิยบุตร แสงกนกกุล เลขาธิการคณะก้าวหน้า ก็เสนอให้ทำประชามติแก้รัฐธรรมนูญ 2 ครั้งเช่นกันนั้น นายภูมิธรรม ระบุว่า ตนไม่ได้นำความเห็นของท่านนั้นท่านนี้มาคิด แต่ตอนนี้ดูแลเรื่องที่เข้าสภาและเป็นปัญหา ส่วนความเห็น นายปิยบุตร และนายชูศักดิ์ ถ้ามีความเห็นแตกต่างถือเป็นเรื่องธรรมดา.