น้ำเก่าไม่ทันลด รอยโคลนยังสดๆ พายุลูกใหม่จ่อซ้ำ ตามประกาศกรมอุตุนิยมวิทยา เตือนดีเปรสชันเข้าไทย แนวโน้มทวีกำลังรุนแรงขึ้นเป็นพายุโซนร้อน ทำให้ฝนตกหนักถึงหนักมาก ต้องระวังอันตรายจากน้ำท่วมฉับพลัน น้ำป่าไหลหลาก

ลากยาวตั้งแต่วันที่ 19–23 กันยายน โดนทั่วทุกภูมิภาคของประเทศไทย

ในอาการหันรีหันขวางไม่รู้จะรับมือกันท่าไหน ประชาชนในพื้นที่ประสบอุทกภัยโดยเฉพาะภาคเหนือจังหวัดเชียงราย พะเยา ลำปาง น่าน แพร่ ที่เพิ่งเข้าสำรวจ บ้านเรือน เคลียร์สภาพทรัพย์สินเสียหาย

ลงมือล้างทำความสะอาด กวาดโคลนเก็บสิ่งปฏิกูลที่ไหลมากับน้ำ

ต้องผวาเหนื่อยซ้ำ เหนื่อยซ้อน แทบไม่ได้พักหายใจหายคอ

เพราะมันถึงจุดที่ยากต่อการคาดการณ์กับสภาพภูมิอากาศสุดขั้วในภาวะโลกเดือด พายุก่อตัวเร็วและรุนแรงกว่าเดิมหลายเท่า สุดจะคาดเดาแจ็กพอตเข้าไทยอีกกี่ลูก ปรากฏการณ์แปลกใหม่ไม่เคยเจอ “rain bomb” ฝนตกแช่ไม่ลืมหูลืมตา

มหันตภัยธรรมชาติยกระดับอันตราย เกินขีดระบบเตือนภัยภาครัฐ

ประกอบกับคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้เตรียมพร้อมรับมือ เพราะไม่คิดภัยจากโลกเดือดจะมาถึงตัวอย่างรวดเร็ว แค่ปีนี้เจอทั้งร้อนแล้งแทบตับแตก พอถึงฝนกระหน่ำ น้ำป่าทะลัก ท่วมเมืองพังพินาศ

ประวัติศาสตร์ยังไม่ต้องบันทึก เพราะยังไม่รู้จุดของความเป็นที่สุด

ตามแนวโน้มสถานการณ์นับจากนี้ไป ภาวะ “โลกเดือด” เอาคืนมนุษยชาติทำลายสิ่งแวดล้อม จะก่อมหันตภัยทางธรรมชาติรุนแรงสุดขั้วทุกทวีปทั่วโลก

สร้างความเสียหายต่อชีวิต ทรัพย์สิน กระเทือนเศรษฐกิจ

นั่นหมายถึงต้องคิดวางแผนรับมือกันทั้งระบบ ยกระดับเป็นวาระแห่งชาติ เชื่อมข้อมูล “climate change” การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศระดับโลก ไม่ใช่แค่ลงพื้นที่ปลอบขวัญ ซับน้ำตากันช็อตต่อช็อต

...

สไตล์อีเวนต์การเมืองแบบไทยๆผัดข้าวแจกแล้วก็แยกย้าย

ปล่อยให้หน่วยกู้ภัย อาสาสมัคร มูลนิธิ ภาคเอกชน รัฐวิสาหกิจ เป็นฮีโร่ด่านหน้าในการลงแรงลงปัจจัยช่วยเหลือชาวบ้านผู้ประสบภัย

“น้ำใจไทย” สู้ “มหาวิบัติน้ำถล่มเมือง” ยังไงก็ไม่ได้ตลอด

มหันตภัยน้ำป่าหลากท่วมเมืองเชียงราย อุทกภัยภาคเหนือ คือโจทย์ทดสอบ “ผู้นำมือใหม่หัดขับ” อย่าง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกฯ วัด “ดีเอ็นเอ” ตัวพ่อยี่ห้อ “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกฯในตำนาน ถ่ายทอดเชิงบริหารชั้นอ๋อง เข้มข้นระดับใด

และอย่างน้อยก็ถือว่า “เข้าใจ” สถานการณ์ปัญหา กับการเทกแอ็กชันเอาจริงเอาจัง ผู้นำสั่งตั้ง “วอร์รูมน้ำ” แต่งตั้งคณะกรรมการอำนวยการบริหารจัดการอุทกภัย วาตภัย ดินโคลนถล่ม หรือ “คอส.”

โดย น.ส.แพทองธาร นั่งแท่นเป็นประธาน แต่มือขับเคลื่อนหลักคือ “บิ๊กอ้วน” นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกฯ และ รมว.กลาโหม ในฐานะผู้อำนวยการศูนย์ ศปช.โดยตำแหน่ง

ภารกิจเร่ง “เยียวยา” ผู้ประสบภัย รับมือพายุฝนที่จ่อเป็นชุด

ณ จุดที่รัฐบาลผู้นำคนสุดท้องตระกูลชิน ต้องบริหารสถานการณ์ภัยพิบัติ “โลกเดือด” อาการแพนิกสังคมกลัวน้ำ ผวาพายุ แหยงหย่อมความกดอากาศต่ำ

ตรงกันข้ามกับไต้ฝุ่นที่นายกฯและพรรคเพื่อไทยตั้งใจให้เกิด “พายุหมุนทางเศรษฐกิจ” ที่กลายสภาพเป็นหย่อมความกดอากาศต่ำ

สภาพคล้ายฝนตกพรำๆ เปาะแปะๆ

กับมหกรรม “เทกระจาด” โครงการเรือธง “ดิจิทัลวอลเล็ต 1 หมื่นบาท” ที่แปลงร่างเป็น “โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจปี 2567 ผ่านผู้มีบัตรสวัสดิการแห่งรัฐและคนพิการ” แบบเนียนๆ

เปลี่ยนจากเงินอนาคต เป็นการจ่ายเงินสดผ่านบัญชีที่ผูกไว้กับรัฐ

กดปุ่มโอนให้กลุ่มเป้าหมาย 14.5 ล้านคน ถูกหวยเฟสแรกตั้งแต่วันที่ 25 กันยายนนี้ ส่วนเฟส 2 อีก 30 ล้านกว่าคน ต้องแหงนคอรอกันยาวๆต่อไป

ตามน้ำเสียงอู้อี้ของทีมงานกระทรวงการคลังต้องระมัดระวังเรื่องการบริหารงบประมาณ ไม่กล้าซิกแซ็กเงินหลวง ในอารมณ์ที่รัฐมนตรีพรรคเพื่อไทยรับสภาพ อ้างไม่อยากเสี่ยงเข้าเงี่ยง “นักร้อง” ตามราวี

ไม่หนีไปจากสิ่งที่ “ไหม” ศิริกัญญา ตันสกุล สส.บัญชีรายชื่อ กัปตันทีมเศรษฐกิจพรรคประชาชน ไล่ดักหน้าดักหลัง ดักคอ ดักทาง

สรุปก็อย่างที่นายอุตตม สาวนายน อดีต รมว.คลัง รัฐบาล “ลุงตู่” เปิดมุมมองโครงการเรือธงพรรคเพื่อไทย แปลงร่างเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา สุดท้ายก็ไม่ต่างจาก “บัตรสวัสดิการแห่งรัฐ” ที่ทีมสี่กุมารปลุกปั้นกันมา

เป็นระบบที่โปร่งใสสุด พิสูจน์จากการใช้งานแล้วหลายปี

และมันก็ไม่หนีไปจากแนวทางที่ “ดร.นก” นายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ปักหลักนิ่งในจุดยืน หนุนการแจกเงินให้เฉพาะกลุ่มเปราะบาง ผ่านบัตรสวัสดิการแห่งรัฐ

ระมัดระวังวินัยการเงินการคลัง ปกป้องขุมสมบัติปู่โสมฯแบงก์ชาติ ไม่เอาด้วยกับโคตรประชานิยมทำล้มละลาย หว่านเงินหลวงแฝงหาเสียงการเมือง

ตามท้องเรื่องทีมเพื่อไทยยังไม่ฝืนเสี่ยงชนเงี่ยงอับปาง

ในสภาพรัฐบาลเหมือนพลาสติกที่แข็งแต่เปราะบาง ไม่ชัวร์ในระดับ “ภูมิคุ้มกัน” ที่ขึ้นๆลงๆตาม “ดีลอำนาจ” โยงกับการแบ่งเค้กแชร์ผลประโยชน์ลงตัว

เหมือนอย่าง “นิด้าโพล” ไม่ชัวร์ ไม่มั่นใจฟอร์มนายกฯอายุน้อยสุดในประวัติศาสตร์ไทย

แบบที่ น.ส.แพทองธาร ต้องลงนามคำสั่งแต่งตั้งคณะที่ปรึกษานโยบายของนายกรัฐมนตรี ประกอบไปด้วย นายพันศักดิ์ วิญญรัตน์ ประธานที่ปรึกษา นพ.สุรพงษ์ สืบวงศ์ลี นายศุภวุฒิ สายเชื้อ นายธงทอง จันทรางศุ นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา มีหน้าที่ให้คำปรึกษา แนะนำ ตามที่นายกฯมอบหมาย

โฟกัสที่ “พันศักดิ์” ชื่อคุ้นๆหน้าเก๋าๆ “บุรุษหูกระต่าย”

ตำนาน “กุนซือบ้านพิษณุโลก” ที่อยู่ยงคงกระพันมาตั้งแต่ยุครัฐบาล พล.อ.ชาติชาย ชุณหะวัณ อดีตนายกฯ โด่งดังมาถึงสมัยรัฐบาลไทยรักไทย ในฐานะซือแป๋ด้านเศรษฐกิจ ผู้เชี่ยวชาญงานต่างประเทศของ “ทักษิณ”

“คลังสมอง” จากรุ่นพ่อส่งต่อถึงรุ่นลูก เรียกความเชื่อมั่น “ทีมเดียวกัน”

ในสถานการณ์ที่เสียเครดิตจังๆ ทีมเถ้าแก่ใหญ่ต้องยูเทิร์น กลับหลังหัน “ดิจิทัลวอลเล็ต” ไม่ใช่แค่ไม่ตรงปก แต่เปลี่ยน “ไส้ใน” จนจำเค้าเดิมที่ทีมเถ้าแก่ใหญ่หาเสียงแทบไม่ได้ ทำได้แค่แจกเงินรักษาคำพูด แก้หน้าทางการเมือง แต่เรื่องกระตุ้นเศรษฐกิจยังไม่ชัดแก้ขัดได้แค่ไหน

สะท้อนอาการลึกๆ ทีมเพื่อไทยก็ยังกล้าๆ กลัวๆในสมรภูมิ “นิติสงคราม” แม้อาการฮึดท้ารบขบวนนักร้องบ้านป่าฯ ตั้งท่าสวนกลับพวกร้องมั่วไร้สาระ

แต่ก็แอบเสียว “หนังสติ๊กยิงเครื่องบินตก”

เพราะตัวอย่างโศกนาฏกรรมทางการเมืองของ “ระบอบทักษิณ” มันมีตัวอย่างให้เห็นกันจะจะ ทั้งรายของอดีตนายกฯสมัคร สุนทรเวช ที่โดนสอยร่วงเก้าอี้จากคดีทำกับข้าวโชว์ทางรายการทีวี

ล่าสุดแผลยังสดๆ นายเศรษฐา ทวีสิน ต้องกลายเป็นอดีตนายกฯ จากการแต่งตั้งรัฐมนตรีที่เคยติดคุก มีปัญหาคุณสมบัติ ขัดจริยธรรมอย่างร้ายแรง

แพร่กระจายเชื้อ “ต่อมจริยธรรมอักเสบ”

2 ดอกใหญ่ๆที่ทีมเพื่อไทยพลาดท่าเสีย “ขุน” กลางกระดาน ในสถานการณ์ไฟต์บังคับเดิมพันขุมอำนาจ “จันทร์ส่องหล้า” ที่ต้องเข็นผู้นำคนสุดท้องตระกูลชิน เสี่ยงตี “ไพ่ใบสุดท้าย”

เกมบีบต้องปกป้องกัน “กล่องดวงใจ” กันสุดแรงเกิด

มันจึงได้เห็นจังหวะใส่เกียร์ห้า กระทืบคันเร่งมิดไมล์ พรรคเพื่อไทยชิงธงนำในการยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญ รื้อมรดกอำนาจ คสช. โดยเฉพาะการบั่นอำนาจทอน ฤทธิ์เดชศาลรัฐธรรมนูญ

ไม่ให้โค่นกระดานรัฐบาล สั่งยุบพรรค ลงโทษประหารนักการเมืองง่ายๆ

ตามจังหวะส่งมุกรับไม้กับฝ่ายค้าน แนวร่วมสำคัญคือพรรคประชาชน ภายใต้การนำของ “กุมารเท้ง” นายณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ หัวหน้าพรรค ที่ประสานเสียงคีย์เดียวกัน

ร่วมแหกวงล้อม “นิติสงคราม” กู้ “กับดักจริยธรรรม”

ด้วยสถานะ “เหยื่อ” โศกนาฏกรรมการเมือง โดนยุบพรรคแล้วยุบอีก ทีมเด็กรุ่นใหม่ก็ต้องเบรกนิติสงคราม ไม่ให้โดนยุบพรรคต่อ

ปฏิบัติการรื้อรัฐธรรมนูญ โละมรดก คสช.จึงเห็นเค้าใกล้ความจริง.

“ทีมการเมือง”

คลิกอ่านคอลัมน์ “วิเคราะห์การเมือง” เพิ่มเติม