“ภูมิธรรม” เข้ากลาโหมวันแรก มอบนโยบาย ผบ.เหล่าทัพ ขอไม่โฟกัสทวงคืนบ้านป่าฯ ยัน ไม่ใช่ “ทักษิณ” ส่งมาแก้แค้นใคร เชื่อ หาข้อสรุปได้หลังโผ ผบ.ทร. ไม่ลงตัว แจง 18 ก.ย.นี้ ประชุมข้อสรุปเยียวยาน้ำท่วม

วันที่ 16 กันยายน 2567 นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เดินทางเข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์เพื่อความเป็นสิริมงคลก่อนปฏิบัติงานที่กระทรวงกลาโหมอย่างเป็นทางการ เริ่มจากบวงสรวงศาลหลักเมือง และไหว้สิ่งศักดิ์สิทธิ์โดยรอบศาลหลักเมือง ก่อนจะเดินทางเข้ากระทรวงกลาโหม โดยถือฤกษ์ 10.30 น. เข้าสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในศาลาว่าการกลาโหม 7 แห่ง โดยได้สักการะเจ้าพ่อหอกลอง ซึ่งช่วงหนึ่ง นายภูมิธรรมปักธูปที่หัวหมูแต่ปักครั้งแรกไม่ลง จึงเปลี่ยนธูปก้านใหม่ซึ่งปักลง เมื่อสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ครบแล้วจึงตรวจแถวกองทหารเกียรติยศผสม 3 เหล่าทัพ ที่หน้าอาคารสำนักงานกลาโหมก่อนจะขึ้นไปมอบนโยบายให้กับผู้นำทั้ง 3 เหล่าทัพ

นายภูมิธรรมให้สัมภาษณ์ว่า รู้สึกเป็นเกียรติและถือเป็นเกียรติยศอย่างสูงสุดที่ได้มีโอกาสมาร่วมงานกับเหล่าทัพ ถือเป็นกระทรวงซึ่งมีความสำคัญในการดูแลความมั่นคงของประเทศ ซึ่งตนบอกกับผู้นำเหล่าทัพว่าไม่ได้คิดว่าจะต้องมาทำสิ่งใดที่สร้างความไม่สบายใจ หรือสร้างความแตกแยกในกองทัพ แต่อยากมาร่วมงานและมีส่วนในการพัฒนากองทัพให้เข้มแข็งและทันสมัย เท่าทันกับโลกที่เปลี่ยนแปลงได้

...

จากการรับฟังภารกิจของกองทัพ สิ่งต่างๆ ที่ตนคิดมา เห็นว่าจริงๆ กองทัพทำอยู่แล้วเกือบทุกอย่าง แต่ทุกอย่างไม่ได้เสร็จสิ้นภายในคืนเดียว ต้องมีระยะที่เปลี่ยนผ่าน จึงได้กำหนดนโยบายไว้ว่าจะทำงานภายใต้ยุทธศาสตร์ชาติ และนโยบายของ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ได้แถลงต่อรัฐสภา ซึ่งจะนำมาปฏิบัติร่วมกับเหล่าทัพให้สอดรับกับสิ่งที่เป็นอยู่และแก้ปัญหาได้ ส่วนการพัฒนาประสิทธิภาพกองทัพ เห็นตรงกันว่าจำเป็นต้องพัฒนาเทคโนโลยีในระดับที่สูงขึ้น กองทัพจำเป็นต้องมีเทคโนโลยีเหล่านี้ช่วยปกป้องดูแลอธิปไตยของชาติ

ส่วนเรื่องกำลังพล คิดว่าการสร้างกำลังสำรองหรือการเกณฑ์ทหาร ตนเห็นด้วยว่ากองทัพก็รู้สึกเช่นกัน จำเป็นต้องมีการเปลี่ยนผ่านและปรับให้มีความเหมาะสมกับความต้องการของประเทศ โดยได้ศึกษาระบบของสหรัฐฯ และเกาหลีใต้ ที่สามารถทำได้ประสบความสำเร็จ ก็จะให้เหล่าทัพช่วยดูให้สอดรับกัน เชื่อว่านโยบายนี้จะสามารถทำได้ เพราะไม่มีอะไรขัดแย้งกัน เพียงแต่จัดการให้เหมาะสมกับความเป็นจริงที่จะเกิดขึ้น ทั้งนี้ หลังรับตำแหน่งยังขอไม่ไปเยี่ยมเหล่าทัพ แต่จะไปเยี่ยมทหารผ่านศึกที่ประสบภัยจากการสู้รบในการปกป้องประเทศก่อน ซึ่งอะไรก็ตามที่จะเป็นประโยชน์ต่อหน่วยงานนี้จะผลักดันเต็มที่ จากนั้นค่อยไปเยี่ยมกรมทหารช่าง เหล่าทัพต่างๆ รวมถึงหน่วยบัญชาการทหารพัฒนา กองทัพไทย โดยอยากเห็นศักยภาพการทำงานและแผนงานที่ชัดในการช่วยเหลือประชาชน

ส่วนกรณีการวิพากษ์วิจารณ์การใช้พื้นที่มูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัด คาบเกี่ยวกับพื้นที่ทหาร และมีกระแสข่าวการทวงคืนพื้นที่ดังกล่าว นายภูมิธรรม กล่าวว่ายังไม่ทราบ ขณะนี้ไม่ได้โฟกัสเรื่องที่อยู่นอกกระทรวงกลาโหม แต่ให้ความสำคัญในการทำงานร่วมกับปลัดกระทรวงกลาโหม และผู้บัญชาการเหล่าทัพ เพื่อทำความเข้าใจในการทำงาน เพราะภารกิจของกองทัพมีหลายด้าน จึงไม่สนใจว่าป่ารอยต่อหรือป่าไม่ต่อ

เมื่อถามว่ามีการโจมตีถึงการใช้พื้นที่มูลนิธิป่ารอยต่อไปเคลื่อนไหวทำกิจกรรมทางการเมืองนั้น นายภูมิธรรมระบุว่า เป็นเรื่องของคนที่โจมตี โดยส่วนตัวไม่ได้อยู่กับคำที่โจมตีต่างๆ ผู้สื่อข่าวถามต่อ แสดงว่าจะไม่มีการทวงพื้นที่คืนจาก พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ซึ่งเป็นมูลนิธิอนุรักษ์ป่ารอยต่อ 5 จังหวัดใช่หรือไม่ นายภูมิธรรม ย้ำว่าไม่ได้เข้าไปเกี่ยวข้อง และอยากพูดถึงเรื่องของกลาโหมมากกว่า เชื่อว่าผู้ที่เกี่ยวข้องดูแลอยู่แล้ว ถ้าไปสนใจเรื่องเหล่านี้มากก็ยิ่งจะทำให้เกิดความร้าวฉาน วันนี้ควรจะมาสร้างความเข้าใจกันดีกว่า

สำหรับประเด็นที่มีการแต่งตั้งเพื่อนร่วมรุ่นเตรียมทหาร 10 (ตท.10) ของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นคณะทำงาน จะถือเป็นตัวแทนของ นายทักษิณ หรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่าไม่ เพราะ พล.อ.ไตรศักดิ์ อินทรรัสมี เลขานุการรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม เคยอยู่ในพรรคเพื่อไทย เป็นคณะทำงานกับตนเอง และเป็นอดีตผู้บัญชาการทหารม้า ทำงานในพื้นที่มา ถึงแม้ขณะนี้อายุจะมากขึ้น แต่ก็ไม่มีปัญหา เพราะมีประสบการณ์และความสามารถ จะช่วยให้แง่คิดกับตนได้

แต่ในท้ายที่สุดการตัดสินปัญหาจะขึ้นอยู่กับตน ซึ่งคณะทำงานที่แต่งตั้งก็ไม่ได้เยอะอะไร อย่างมากก็ไม่น่าเกิน 3 คน ส่วนใหญ่จะเป็นงานที่เกี่ยวข้องกับงานประจำ เช่น งานทางด้านการเงิน และตนคิดว่าจะไม่ได้แต่งตั้ง พล.อ.ไตรศักดิ์ เพียงคนเดียว เนื่องจากขณะนี้ตำแหน่งที่ปรึกษารัฐมนตรี และผู้ช่วยรัฐมนตรี ยังไม่ได้แต่งตั้ง คิดว่าอยากได้คนรุ่นใหม่ คนที่มีทัศนะและความคิดที่กว้างขวาง เพื่อประกอบส่วนให้มีความเข้มแข็งมากยิ่งขึ้น

“ขออย่ากังวลใจ ผมเองรับประกันว่าอันนี้ไม่ได้มีใครมาครอบงำอะไรได้ ผมเป็นตัวของตัวเอง และพร้อมทำงานกับเหล่าทัพด้วยความสบายใจ”

ในฐานะที่อยู่กับ นายทักษิณ มานาน ซึ่ง นายทักษิณ และ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยถูกปฏิวัติรัฐประหารมาก่อน ได้อ่านความคิดของ นายทักษิณ ถึงการมาดำรงตำแหน่งนี้จะเป็นการมาเพื่อมาแก้แค้นหรือไม่ นายภูมิธรรม ระบุว่า เรื่องการแก้แค้นมันหมดไปนานแล้ว และมันยังไม่เคยเกิดขึ้นด้วยซ้ำ วันนี้ทุกอย่างวิกฤตการณ์ของประเทศสำคัญกว่า ทั้งการร่วมมือกันเพื่อทำให้ประเทศเดินหน้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด จึงไม่มีเรื่องที่ท่านสงสัยหรือกังวลใจ ตอนนี้ได้คุยกับเหล่าทัพแล้วเชื่อว่าจะสามารถทำงานร่วมกันได้อย่างดี สิ่งเหล่านี้อย่าให้เป็นสิ่งที่จะทำให้คลางแคลงใจ หรือสร้างปัญหาให้เกิดความแตกแยก เชื่อว่าไม่มีสิ่งนี้แน่นอน

เมื่อถามต่อไป เนื่องจากมีการดีลกันเกิดขึ้นจึงไม่มีสิ่งเหล่านี้ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ไม่ได้ดีลอะไรกันหรอก ก็เป็นเรื่องที่ทำตามหน้าที่ ตนมาก็ปลอดโปร่ง คนเดียว ยังไม่ได้รู้อะไรเท่าไหร่ ก็ถึงจะมาเรียนรู้ ส่วนดีลนู้นดีลนี้ไม่มีหรอก วันนี้มีแต่ตนเองกับผู้บัญชาการเหล่าทัพต่างๆ ที่จะร่วมมือกัน พร้อมยืนยันว่า “มั่นใจ 1,000% ตนเชื่อว่า จะสามารถร่วมมือกับเหล่าทัพต่างๆ ด้วยความเคารพกัน ยอมรับในสิ่งที่แตกต่าง และหาข้อสรุปในการทำงานร่วมกันได้อย่างดี”

ขณะเดียวกัน นายภูมิธรรมยังกล่าวถึงความคืบหน้าโครงการเรือดำน้ำของกองทัพเรือที่เรื่องยังค้างอยู่ ว่า ยังไม่ได้ให้นโยบาย เพราะเรื่องสำคัญแบบนี้ไม่ควรเร่งด่วนที่จะเสนออะไรชัดเจน แต่อยากจะคุยกับเหล่าทัพจะจัดการแต่ละเรื่องอย่างไรอย่างมีเหตุมีผล ก็เป็นปัญหาของฝ่ายการเมืองที่มีนโยบายและสำรวจความต้องการของประชาชน ต้องดูว่ากองทัพมีความจำเป็นและจะจัดการอย่างไร หลังจากเข้ามาสักระยะหนึ่งก็จะหาข้อสรุปในสิ่งเหล่านั้นได้

ส่วนที่ก่อนหน้านี้ นายสุทิน คลังแสง อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ได้ผลสรุปผลการแก้ปัญหาเครื่องเรือดำน้ำและเตรียมเข้าที่ประชุม ครม. นั้น นายภูมิธรรมกล่าวว่า ก็ควรให้ตนได้ทบทวนเพื่อดูและตัดสินใจ โดยจะรับฟังจากเหล่าทัพที่เกี่ยวข้องเพื่อพิจารณาร่วมกัน คิดว่าความเป็นรัฐมนตรีกลาโหมของตนกับเหล่าทัพที่จะสามารถพูดคุยกับผู้นำเหล่าทัพที่มีภารกิจต้องทำด้วยดี

ขณะที่ดูเหมือนจะต้องพูดคุยกับผู้บัญชาการทหารเรือ (ผบ.ทร.) หลายเรื่อง โดยเฉพาะการจัดโผทหารที่ไม่ลงตัวเก้าอี้ ผบ.ทร.คนใหม่ นายภูมิธรรมเผยว่า จริงๆ มาถึงวันนี้ ไม่ได้เพิ่งเจอ พล.ร.อ.อะดุง พันธุ์เอี่ยม ผบ.ทร. แต่ 4-5 วันที่ผ่านมาตนโทรศัพท์คุยกับท่านตลอด แต่คงจะหาข้อสรุปได้ ตามที่ได้เรียนไปแล้ว เมื่อถามย้ำว่าการจัดโผทหารที่ล่าช้า เพราะกองทัพเรือ (ทร.) ไม่ลงตัวใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า เป็นธรรมดาของการเปลี่ยนถ่ายรัฐบาล เมื่อมีการเปลี่ยนทุกอย่างก็สะดุด ต้องยอมรับว่ามีอยู่ช่วงหนึ่ง เมื่อมีการโปรดเกล้าฯ ครม.ชุดใหม่ และถวายสัตย์ปฏิญาณเรียบร้อย ความเป็นรัฐมนตรีเดิมก็สิ้นสุดลง นายสุทินก็ไม่สามารถลงนามได้ ในขณะที่เราก็ต้องรอการแถลงนโยบายต่อรัฐสภา เพราะเมื่อ 12 กันยายนที่ผ่านมา

ทั้งนี้ เมื่อแถลงนโยบายต่อรัฐสภาแล้ว ก็เรียกประชุมบอร์ด 7 เสือกลาโหม หรือคณะกรรมการพิจารณาแต่งตั้งโยกย้ายนายทหารชั้นนายพล เพื่อหาข้อสรุปทันที จึงไม่ได้ขาดตกบกพร่องหรือขาดตอน แต่หลังจากคุยกันก็เป็นเรื่องยาก เพราะตนเพิ่งเข้ามา ก็คงต้องเรียนรู้แล้วเรียนว่าการตัดสินที่ผ่านมา ก่อนตนเข้ามา ตัดสินใจจากพื้นฐานอะไร ส่วนตนก็มีหลักคิดที่เหมาะสม ก็จะหารือกัน คิดว่าเรื่องเหล่านี้เป็นธรรมดา ในช่วงการเปลี่ยนผ่าน ไม่มีอะไรชักช้า ดังนั้น การพูดคุยจะเป็นสิ่งที่ดีที่สุด เพื่อให้ข้อสรุปที่ทุกฝ่ายสบายใจ ยืนยันหลักและเหตุผลที่รองรับ เมื่อถามว่าโผทหารของกองทัพบกเรียบร้อยหรือไม่ นายภูมิธรรมตอบว่า ก็ดูทั้งหมด เพิ่งเห็น

ต่อมาเมื่อเวลา 15.55 น. วันที่ 16 กันยายน 2567 นายภูมิธรรมกล่าวที่ทำเนียบรัฐบาล ถึงมาตรการและงบเยียวยาผู้ประสบอุทกภัย ว่า ในส่วนของงบเยียวยาไม่ต้องเข้าที่ประชุม ครม. ในวันที่ 17 กันยายน 2567 เนื่องจากยังใช้มติเดิมไปก่อน ซึ่งการเยียวยาเราทำตามกรอบเดิมทุกอย่าง ส่วนหากเยียวยามากขึ้นกว่านี้เราจะพิจารณาตามหลัง เพราะหากรอก็จะช้า ดังนั้น คณะกรรมการที่นายกรัฐมนตรีตั้งขึ้นจะคุยกันวันที่ 18 กันยายนเป็นวันแรก โดยสำนักงบประมาณ สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา สำนักนายกรัฐมนตรี และหน่วยต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะมาพิจารณาประเมินร่วมกัน และจะออกมาเป็นข้อสรุปพร้อมไทม์ไลน์

สำหรับครั้งนี้เราแก้ปัญหาเฉพาะหน้า ซึ่งมี 2 ประเด็น คือ การส่งกำลังทั้งหมดเข้าไปแก้ไขปัญหาที่เกิดอุทกภัยต่างๆ โดยเร็ว ส่วนการเยียวยาจะตามหลัง และจะคลีนนิ่งทุกอย่างเข้าสู่สภาพปกติทันที ซึ่งจะต้องดำเนินการในขณะนี้จนกว่าเหตุการณ์ประมาณต้นเดือนตุลาคมจะปกติ และคณะทำงานจะดูหน้างานทั้งหมดนำมาสรุปแก้ปัญหาต่อไปไม่ให้เกิดขึ้นอีก นายกรัฐมนตรีได้มอบหมายให้คณะกรรมการไปพิจารณาในรายละเอียด วันนี้เราคุยกันเพียงหลักการ ข้อห่วงใย และความรวดเร็วในการแก้ปัญหาต่างๆ ทั้งหมด จากนี้ไปจะคุยในรายละเอียดและเสนอนายกรัฐมนตรีเป็นระยะ

เมื่อถามถึงช่องทางการเยียวยาจะใช้ช่องทางไหน นายภูมิธรรมกล่าวว่า ช่องทางเยียวยาเดิมมีอยู่แล้ว แต่เราจะไปพิจารณาอีกว่าจะสามารถมีช่องทางไหนที่เข้าถึงได้เร็วที่สุด ซึ่งเป็นโจทย์ที่นายกรัฐมนตรีมอบให้ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปช.) ไปดำเนินการ ทางด้านการเยียวยาไร่นาหรือพืชผลทางการเกษตรจะได้มากขึ้นหรือไม่ เพราะสภาพเศรษฐกิจตอนนี้เปลี่ยนไป และที่ผ่านมาค่าเยียวยาน้อยมาก นายภูมิธรรมตอบว่า วาระปกติหน่วยงานต่างๆ ทำได้อยู่แล้ว อีกส่วนหนึ่งเป็นเรื่องของงบกลาง ซึ่งนายกรัฐมนตรีเปิดแล้ว สามารถดำเนินการได้เลยและมาแจ้งในทีหลัง โดยให้หลักการให้กรอบไปแล้วว่าจะทำอย่างไร ในวันที่ 18 กันยายนนี้ จะสรุปภาพให้ชัดเจนยิ่งขึ้น.