แถลงนโยบายรัฐบาล “พริษฐ์” สรุปอภิปรายฝั่งฝ่ายค้าน ขอจับตาการบริหารราชการและนโยบาย ด้าน “สุทิน” พูดปิดท้าย ให้กำลังรัฐบาล มองวาทกรรมเป็นสีสัน “ภูมิธรรม” เป็นตัวแทนรัฐบาลขอบคุณ ก่อนประธานสั่งปิดประชุม

เมื่อเวลา 23.42 น. วันที่ 13 กันยายน 2567 เข้าสู่การสรุปของ นายพริษฐ์ วัชรสินธุ สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ว่า แม้นายกรัฐมนตรีจะเปลี่ยนคน แต่ไม่ได้เปลี่ยนพรรค แม้รัฐมนตรีจะเปลี่ยนชื่อ แต่ไม่ได้เปลี่ยนนามสกุล แล้วจึงกล่าวต่อไปถึงการตรวจการบ้านรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี 1 ปีที่ผ่านมา เริ่มด้วยโครงการดิจิทัลวอลเล็ต ไม่เห็นว่าจะสามารถจุดชนวนได้แม้แต่เรื่องเดียว เพราะมัวหมกมุ่นในนโยบายดังกล่าว และพูดกลับไปกลับมา จนวันนี้ก็ยังไม่ได้แจกแม้แต่บาทเดียว ประชาชนก็ไม่แน่ใจว่าทุกคนจะได้รับจริงหรือไม่ จากเงินดิจิทัล แต่ก้อนแรกรัฐบาลก็ยอมรับแล้วว่าจะจ่ายเป็นเงินสด

ส่วนนโยบายพลังงานที่จะลดราคา ก็ลดลงไปในระยะสั้นมาก ปัจจุบันก็เด้งกลับมาหมดแล้ว ในตอนหนึ่ง ประธานรัฐสภา กล่าวเบรกว่าให้เข้าสู่รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ได้แล้ว นายพริษฐ์ กล่าวต่อในเรื่องการท่องเที่ยวว่า นายเศรษฐา ขยันผิดจุด สะท้อนว่าเป็นความล้มเหลว ไม่ประสบความสำเร็จในการดึงนักท่องเที่ยวไปจังหวัดใหม่ ๆ ได้ รวมไปถึงการผลักดันรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ก็ยังค้างอยู่ที่การทำประชามติ เหมือนกลับมาอยู่จุดเดิม

...

หากนำนโยบายของรัฐบาล นายเศรษฐา และรัฐบาล น.ส.แพทองธาร มาเทียบกัน เหมือนว่าคิดไม่ครบและกลับไปกลับมา เรื่องแรกคือดิจิทัลวอลเล็ต โดยไม่มีคำว่า 10,000 บาท การแจกเงินสดก็เรียกว่าดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้ และผู้ที่ไม่ใช่กลุ่มเปราะบางจะได้รับเงินหรือไม่ ขณะที่นโยบายเรื่องค่าแรงขั้นต่ำก็เจือจางลง ไม่มีในนโยบายของรัฐบาลปัจจุบัน และหลายนโยบายคิดไม่ซื่อ แต่เอาประชาชนมาบังหน้า ยังไม่เห็นความหวังมากนักใน 3 ปีข้างหน้านี้ ประชาชนจะฝากความหวังกับนายกรัฐมนตรีได้หรือไม่

พร้อมระบุต่อไปว่า คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดนี้ มีความเสี่ยงจะเป็น ครม.ตัวประกัน จะเจออุปสรรคในการปฏิรูปโครงสร้าง นายกรัฐมนตรีคนปัจจุบันถูกล้อมรอบด้วยนิติสงคราม ซึ่งตนและพรรคประชาชนก็ไม่เห็นด้วย วันนี้นายกรัฐมนตรีกำลังยืนบนทาง 2 แพร่ง ที่เครือข่ายอำนาจเก่าหวังใช้ท่านเป็นเครื่องมือเพื่อกำจัดภัยคุกคามใหม่ แต่ในอนาคตเชื่อว่าอำนาจเก่าก็จะไม่เก็บภัยคุกคามเก่าไว้เช่นกัน หากวันนี้พร้อมหันหลังให้อำนาจเก่า วิ่งเข้าหาประชาชน มาร่วมมือกับพรรคประชาชนในบางโอกาสบางวาระ ปฏิรูปโครงสร้างการเมืองให้เป็นประชาธิปไตยแบบปกติ ให้อำนาจที่มาจากการเลือกตั้ง อยู่เหนืออำนาจที่มาจากการแต่งตั้ง เชื่อว่าแม้จะเห็นต่างหลายเรื่อง แต่จะฝ่าอำนาจเก่า นิติสงคราม เพื่อให้ประเทศไปได้ตามระบอบประชาธิปไตย เดินหน้าถ่วงดุลในสภา ถ่วงดุลกันในคูหาเลือกตั้ง ผลัดกันเป็นรัฐบาลและฝ่ายค้าน ไม่ได้เป็นศัตรูกัน และการเมืองจะมีเสถียรภาพ ประเทศไทยจะมีที่ยืนในเวทีโลก ประเทศชาติและประชาชนจะมีแต่ได้กับได้

“เวลาของท่านในการตัดสินใจมีเหลือไม่มาก ความอดทนของพี่น้องประชาชนมีขีดจำกัด ผมเชื่อว่า 3 ปีหลังจากนี้ท่านจะต้องเผชิญกับหลายสถานการณ์ที่ท่านจะต้องตัดสินใจแทนพวกเราทุกคน ว่าท่านจะทำให้อนาคตข้างหน้านั้นเป็นอนาคตที่อำนาจลงตัวแต่ประชาชนลงเหว หรือเป็นอนาคตที่อำนาจเปลี่ยนผ่านและประเทศชาติเปลี่ยนแปลง พวกเราพรรคประชาชนในฐานะแกนนำพรรคฝ่ายค้าน เราจะเฝ้ารอและตรวจสอบทุกฝีก้าว และทุกการตัดสินใจของท่าน ผมได้เพียงแต่หวังว่าท่านจะตัดสินใจทุกครั้งโดยไม่ปล่อยให้ประโยชน์ส่วนตัวของใครมาอยู่เหนือประโยชน์ส่วนรวมของประเทศชาติและพี่น้องประชาชนทุกคน”

ต่อมาเวลา 00.27 น. เข้าสู่วันที่ 14 กันยายน 2567 พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม ชี้แจงว่า รัฐบาลต้องอยู่รับใช้ประชาชน เหมือนถูกตราหน้า ด้อยค่าจากผู้สรุป แต่ไม่เป็นไร เป็นการพูดเพื่อก่อก็ได้ จากนั้นกล่าวถึงเรื่องยาเสพติดที่มีความล้มเหลวในการปราบปราม ต้องทำความเข้าใจเพื่อไม่ให้เกิดความคลาดเคลื่อน ว่า 1 ปีรัฐบาล นายเศรษฐา มีความจริงจังในการปราบปรามยาเสพติด ยอมรับว่าการผลิตยาเสพติดไม่ได้ผลิตในประเทศไทย แต่มาจากสามเหลี่ยมทองคำมีศักยภาพในการผลิตสูง แต่เชื่อมั่นว่าเรามีความร่วมมือกับประเทศในอาเซียน รัฐบาลกล้าออกหมายจับพันเอกของว้า ส่วนราคาที่ถูกก็มีการลดปริมาณเมตแอมเฟตามีน

ส่วนเรื่องการขายไฟให้ประเทศเพื่อนบ้านที่อ้างว่าอาจจะเป็นการเอื้อการผลิตยาเสพติดนั้น มีการมอบหมายไปดำเนินการ รวมถึงส่งฟ้องการไฟฟ้าส่วนภูมิภาคแล้ว ซึ่งสิ่งที่อภิปรายมานั้นเป็นประโยชน์ ขอรับไว้ และเราจะยกระดับเรื่องความปลอดภัยทางไซเบอร์ ทางด้าน นายรังสิมันต์ โรม สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน ระบุว่า เรื่องตัดไฟเป็นปัญหาเร่งด่วน ซึ่งไทยมีความชอบธรรมในการตัดไฟ และอยากให้ทำหนังสือไปถึงอัยการสูงสุด ขอให้ทวงถามความคืบหน้าด้วย

ขณะที่เวลา 00.38 น. เข้าสู่การอภิปรายเป็นคนสุดท้ายคือ นายสุทิน คลังแสง สส.มหาสารคาม พรรคเพื่อไทย อดีตรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ตรวจสอบนโยบายรัฐบาลแล้ว สอดคล้องรัฐธรรมนูญและยุทธศาสตร์ชาติ จากนั้นต้องดูว่าการจะแก้ปัญหาให้ประเทศตีโจทย์แตกหรือไม่ โดยดูความท้าทาย 9 ข้อ วันนี้รัฐบาล น.ส.แพทองธาร ตีโจทย์ประเทศตรงกับประชาชน ซึ่งตัวแทนประชาชนคือ สส. ถือว่ากลัดกระดุมเม็ดแรกถูก จากนั้นดูวิธีแก้ปัญหาว่าถูกหรือไม่ คือนโยบายเร่งด่วน 10 ข้อ โดยมองว่าแต่ละนโยบายชัด ตอบโจทย์ ส่วนเรื่องดิจิทัลวอลเล็ต ต้องมองมุมกลับว่าที่ทำช้าเพราะเคารพความเห็นและเสียงท้วงติง ปรับจนเปลี่ยนโฉมไป ไม่อยากให้ถูกล้มก็ต้องทำอย่างรอบคอบ และบางนโยบายก็เขียนชัดกว่ารัฐบาลเก่ามาก

ทั้งนี้ ตรวจสอบเบื้องต้นแล้วว่ารัฐบาลมองโจทย์แตก หลายคนถามหาแผนงานและโครงการ แต่นโยบายต้องเขียนกว้างๆ โดยรวม 80% รัฐบาล ตัวแทนประชาชนมองตรงกัน ส่วน 20% ถูกพูดถึงแผนงาน คำถามต่อมาของเพื่อนสมาชิกคือจะสำเร็จหรือไม่ แต่ไม่ใช่เรื่องของวาระนี้ การท้วงติงเป็นเรื่องที่ดี เพิ่มเติมเกิดให้สมบูรณ์ได้ พร้อมฝากถึงรัฐบาลอย่าไปเสียกำลังใจ หลายความคิดมีเหตุผลน่ารับฟัง แต่บางข้อเสนอแนะอาจจะปนเปื้อนผลประโยชน์ทางการเมือง ถือว่าเป็นเสน่ห์ บางข้อเสนอแนะอาจจะไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศ ก็อย่าไปเสียกำลังใจ

นายสุทิน กล่าวต่อไปว่า ไม่ผิดที่จะกังวลว่าคณะรัฐมนตรี (ครม.) จะไหวหรือไม่ ผลักดันได้หรือไม่ ถ้าไม่ไหว ไม่ดีจริง เราก็ยื่นอภิปรายไม่ไว้วางใจ บางเรื่องเป็นห่วง บางเรื่องเป็นวาทกรรม ก็ต้องมีบ้าง อะไรที่ไม่ใช่ก็ไม่ต้องไปคิด สังคมดูออกการตั้งรัฐบาลวันนั้นให้ใครมีโอกาสก่อน ให้โอกาสแล้วแต่ไม่ได้ ประชาชนให้มาอย่างนี้ ทำให้ดีที่สุดตามข้อจำกัด ใครก็อยากได้รัฐบาลพรรคเดียว แต่ขอให้คิดว่าตั้งในสภา ไม่ได้ไปตั้งในค่ายทหาร ถ้าเราไม่ตั้ง ไม่มีรัฐบาล วันนี้จะมากันอย่างไร ปัญหาประชาชนจะไม่หนักกว่านี้หรือ

ส่วนประเด็นเรื่องอำนาจตัดสินใจ มีคนบงการอยู่เบื้องหลังหรือไม่ วาทกรรมครอบครอง ครอบงำ ขอให้คิดว่าการที่จะมีองค์กรบริหารใด ถ้าจะมีคณะที่ปรึกษา มีผู้มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศอย่างช่ำชอง ไม่ดีหรือ ถ้าตนเป็นนายกรัฐมนตรี ได้ที่ปรึกษาเป็นอดีตนายกรัฐมนตรี 4-5 คน จะยกมือสาธุเลย ทำไมไม่คิดแง่บวก ขอให้ดูมรรคผลของการบริหารประเทศ ตลอด 2 วันนี้ สภาสร้างคุณค่า เชื่อว่ารัฐบาลไม่นิ่งดูดาย เก็บไปเป็นการบ้าน และเชื่อว่าคำอภิปรายมีผลต่อรัฐบาล รัฐมนตรีทุกคนให้ความสำคัญต่อการอภิปรายของเพื่อนสมาชิกและจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐบาลชุดนี้ และขอให้กำลังใจรัฐบาล

ในเวลา 01.05 น. นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม ในฐานะผู้แทนรัฐบาล กล่าวว่า ขอบคุณในการแถลงนโยบายของคณะรัฐมนตรี ไม่ใช่กล่าวขอบคุณในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ขอบคุณที่ร่วมกันอภิปรายตลอดระยะเวลา 2 วัน แสดงความเห็นต่อนโยบาย นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีได้รับฟังความเห็นจาก สส.ฝ่ายค้าน ฝ่ายรัฐบาล และ สว. ล้วนแต่เป็นประโยชน์บริหารราชการแผ่นดิน แม้บางครั้งการอภิปรายจะไปไกลจากความเป็นจริง แต่จะนำความคิดเห็นไปจำแนกแยกแยะหาทางที่ดีที่สุดเพื่อประเทศ นำไปประกอบการพิจารณาขับเคลื่อน

ทั้งนี้ ภาพรวมนโยบายที่รัฐบาลแถลงไปเป็นการยกระดับชีวิตประชาชน ต่อยอดการพัฒนา เพิ่มศักยภาพการแข่งขันของประเทศ วางรากฐานสู่อนาคต พร้อมกันนี้ รัฐบาลขอให้ความเชื่อมั่นว่าการดำเนินนโยบายตามที่ได้แถลงต่อรัฐสภา จะช่วยสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียมให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติและศักดิ์ศรี เกิดประโยชน์สูงสุดต่อพี่น้องประชาชน ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดตามความมุ่งหวังของรัฐบาลและสมาชิกรัฐสภาอันทรงเกียรติแห่งนี้ทุกท่าน จากนั้น ประธานรัฐสภากล่าวปิดประชุมในเวลา 01.10 น.

(ภาพ : ธนัท ชยพัทธฤทธี)