“ศิริกัญญา” อัดคำแถลงนโยบาย “รัฐบาลแพทองธาร” ห่างไกลจากที่เคยหาเสียง ชี้ โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยดิจิทัลวอลเล็ต คำว่า 10,000 บาทหายไป แนะรัฐบาลทำ 4 เรื่องปรับโครงสร้างเศรษฐกิจ


วันที่ 12 กันยายน 2567 น.ส.ศิริกัญญา ตันสกุล สส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคประชาชน อภิปรายภาพรวมนโยบายเศรษฐกิจในคำแถลงของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในการประชุมร่วมกันของรัฐสภาเพื่อพิจารณาเรื่องด่วน คณะรัฐมนตรีแถลงนโยบายต่อรัฐสภา โดยการอภิปรายใช้กรอบแนวคิด GPS (Government Policy Statement) เพื่อบอกว่ารัฐบาลกำลังพาประเทศไปทางไหน ด้วยวิธีการใด ต่างจากที่เคยสัญญากับผู้ร่วมเดินทางหรือไม่ และจะถึงเป้าหมายเมื่อไร

น.ส.ศิริกัญญา กล่าวว่า ก่อนหน้านี้รัฐบาลที่นำโดยพรรคเพื่อไทย เคยผิดคำพูดไปแล้ว 1 รอบ เพื่อจะจัดตั้งรัฐบาลข้ามขั้ว มีโอกาสบริหารประเทศมาแล้ว 1 ปี แต่ยังไม่สามารถส่งมอบนโยบายตามที่หาเสียง ดังนั้น นายกรัฐมนตรีควรใช้โอกาสนี้เป็นกลไกกู้คืนความเชื่อมั่นและศรัทธาของประชาชนด้วยการให้สัญญาที่หนักแน่นชัดเจน เพราะคำสัญญาที่เป็นรูปธรรมเท่านั้นจึงจะแสดงถึงความรับผิดชอบต่อประชาชน และประชาชนยังสามารถติดตามตรวจสอบความสำเร็จในการดำเนินนโยบายได้

...

ทั้งนี้ เมื่อเปรียบเทียบคำแถลงนโยบายของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร กับการแถลงนโยบายของผู้นำคนอื่นๆ หนึ่งในนั้นคือ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี มีการระบุกรอบเวลา เป้าหมาย และตัวชี้วัดชัดเจน แต่ของรัฐบาลนี้ไม่ได้ต่างจากรัฐบาล นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี มากนัก แม้จะลงรายละเอียดในมาตรการย่อยมากกว่า แต่ยังคงเป็น GPS ที่พาเราหลงทาง ใช้คำกว้างๆ ลอยๆ ไม่บอกว่าทำอย่างไร

“ไม่เข้าใจว่าไล่คนเขียนคำแถลงนโยบายของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ออกไปทำไม ในเมื่อเขียนให้ชัดก็เขียนได้ เคยเขียนมาแล้ว ทำไมรอบนี้ไม่ยอมเขียน เช่น มีการใช้คำว่าเร่งรัด แต่ไม่ได้บอกว่าจะเสร็จเมื่อไหร่ ใช้คำว่าส่งเสริมถึง 37 ครั้ง แต่ไม่รู้วิธีการเป็นอย่างไร ใช้คำว่ายกระดับ 17 ครั้ง แต่ไม่รู้ว่ายกไปแล้วเพิ่มขึ้นเป็นเท่าไหร่ การกำหนดเป้าหมายก็ยังไม่ชัดเจน บอกเพียงสร้างโอกาสอย่างเท่าเทียม ให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี แต่ก็ไม่ได้บอกว่า มีกินคืออะไร มีใช้คืออะไร มีเกียรติคืออะไร มีศักดิ์ศรีคืออะไร”

สำหรับปัญหาของการเขียนคำแถลงนโยบายกว้างๆ คือเมื่อประชาชนกลับมาตรวจสอบว่าท่านได้ทำตามสัญญาไว้หรือไม่ ก็จะเถียงกันไม่จบว่าตกลงทำแล้วหรือยัง ทำเสร็จหรือยัง แต่โชคดีที่เรามี Digital Footprint ของพรรคเพื่อไทย จะได้เห็นว่านโยบายตอนหาเสียงที่มีการระบุรายละเอียดไว้ชัดเจน วันนี้นโยบายเหล่านั้นถูกทำให้จางไปมากแล้ว ไม่ว่าจะเป็น พักหนี้เกษตรกร 3 ปี รายได้เพิ่ม 3 เท่า, ค่าแรงขั้นต่ำ 600 บาท เงินเดือน 25,000 บาท เมื่อเทียบกับรัฐบาล น.ส.แพทองธาร พักหนี้เกษตรกรไม่มีแล้ว ค่าแรงขั้นต่ำหายไปเลย ไม่รู้ว่า 600 บาท จะได้เมื่อไหร่ ส่วนเงินเดือนปริญญาตรีซึ่งขึ้นมาแล้ว 1 รอบ 10% เหลือรอบสองอีก 10% จะทำให้ถึง 25,000 บาทหรือไม่ต้องขอความชัดเจน

ส่วนโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยดิจิทัลวอลเล็ต เดิมจะเขียนชัดเขียนครบ แต่ในการแถลงรอบนี้คำว่า 10,000 บาทหายไป หรือที่เพิ่มขึ้นมาอย่างรถไฟฟ้า 20 บาทตลอดสาย แปลงร่างเป็นค่าโดยสารราคาเดียวตลอดสาย ทำให้นโยบายไม่ค่อยเหมือนตอนที่หาเสียงไว้ แต่กลับเหมือนที่ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เคยพูดเมื่อวันที่ 22 สิงหาคม 2567 เนื้อหาตรงกันประมาณ 11 จาก 14 ประเด็น

“อีกประเด็นที่เป็นปัญหา คือทั้งที่คำพูดเหมือนกัน ถ้อยคำเหมือนกัน แต่ฟังแล้วก็รู้ว่าสร้างผลกระทบไม่เหมือนกัน เราอยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่สามารถสร้างความน่าเชื่อถือ สร้างความมั่นใจให้ประชาชนได้ ว่าท่านจะเป็นคนดำเนินนโยบายที่แถลงได้เองจริง ๆ วันนี้ขอให้ท่านมาตอบด้วยตัวเองในรายละเอียดต่างๆ เล่าให้ฟังว่าจะทำอย่างไร เพราะเราอยากเห็นนายกรัฐมนตรีที่มีแสงสว่างในตัวเอง เป็นดาวฤกษ์ไม่ใช่ดาวเคราะห์”

น.ส.ศิริกัญญา ระบุต่อไปอีกว่า นโยบายดิจิทัลวอลเล็ต ตนอภิปรายครั้งล่าสุดเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมาว่าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาหลายรอบ ล่าสุดเปลี่ยนเป็นรอบที่ 7 เช่น แหล่งที่มาของเงินกลายเป็นว่าจะใช้งบกลางปี 2567 มีเท่าไหร่เอามาแจกก่อนเป็นเงินสด ส่วนที่เหลือพยายามจะเบ่งงบปี 2568 ด้วยการกู้เพิ่ม ตัดลดงบที่ใช้ชำระหนี้ธนาคารรัฐ ทำขนาดนี้ก็ยังได้เงินไม่พอที่จะจ่ายให้ครบ 45 ล้านคน จึงบอกว่าจะแบ่งจ่ายเป็น 2 งวด ถ้าระบบชำระเงิน Open loop เสร็จทัน จะแจกเป็นเงินดิจิทัล แต่ถ้าไม่ทันจะจ่ายเป็นเงินสด ซึ่งตนขอยังไม่เชื่อและอยากรู้ว่าสุดท้ายโครงการนี้จะไปจบที่ตรงไหน

“คงต้องตั้งคำถามว่าพวกท่านพาโครงการเรือธงขนาดนี้ มาถึงจุดนี้ได้อย่างไร ดิฉันเดาว่ามีมือที่มองไม่เห็นที่คอยมาสั่งอย่างเดียว จะเอาให้ได้ แต่ไม่รู้ว่าหน้างานเป็นอย่างไร กฎหมายเปลี่ยนไปขนาดไหนจากเมื่อ 20 ปีก่อน ฐานะการคลังของประเทศรับได้แค่ไหน สักแต่ว่าจะทำให้ได้ เจ๊งไม่ว่าเสียหน้าไม่ได้ ตอนนี้เหมือนอาการเมาหมัด เงินมีอยู่เท่าไหร่แจกไปก่อน ที่เหลือไปตายดาบหน้า สุดท้ายเครดิตจะไม่เหลือ และหลายครั้งก็ชี้นิ้วมาที่ฝั่งฝ่ายค้านว่าทำให้ต้องเปลี่ยนไปเปลี่ยนมา ทำให้ล่าช้าเละเทะ แต่อย่าอ้างเลยว่าเพราะท่านฟังความเห็นต่างเลยต้องเปลี่ยนตาม เพราะสิ่งที่เราพูดคือข้อเท็จจริงและข้อกฎหมาย”

ทั้งนี้ ขอดักคอไว้ก่อนเลยว่า ครึ่งปีหลังของปี 2567 เศรษฐกิจจะฟื้นตัวดีตามอัตภาพ เนื่องจากฐานจีดีพีในปีที่แล้วต่ำ แม้ไม่มีดิจิทัลวอลเล็ต เศรษฐกิจไตรมาส 3 ก็โตเกือบ 3% ไตรมาส 4 เกือบ 4% ตลอดทั้งปีน่าจะอยู่ที่ 2.5-2.6% ดังนั้นไม่ควรเคลมว่าเศรษฐกิจโตเพราะฝีมือรัฐบาล และเห็นว่าไม่ควรเอาเงินไปลงกับนโยบายนี้เพื่อจะทำให้เศรษฐกิจโต 5% เพราะแม้ไปถึงก็อยู่ได้ไม่นาน จะกลับมาโตร้อยละ 3 อีกครั้ง ตราบใดที่ไม่เพิ่มศักยภาพการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ แต่ก็ดีใจที่เราเริ่มเห็นตรงกันว่าต้องเร่งปรับโครงสร้างของเศรษฐกิจ เพราะในการแถลงนโยบายครั้งก่อนไม่มีคำนี้ พร้อมเสนอ 4 เรื่องที่รัฐบาลต้องทำเพื่อเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจไทย ดังนี้

1. ยกระดับทักษะแรงงาน ต้องทำกับแรงงานทั้งระบบ ไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมเป้าหมายหรือซอฟต์พาวเวอร์ เพราะแรงงานทั้งประเทศมีอยู่ 40 ล้านคน ประมาณ 40% เป็นกลุ่มคนที่จบการศึกษาต่ำกว่ามัธยมต้น เราไม่สามารถทำให้ศักยภาพเศรษฐกิจโตได้ถ้าแรงงานส่วนใหญ่มีทักษะในระดับนี้

2. ต้องโฟกัสที่การดึงดูดเทคโนโลยี ไม่ใช่แค่การดึงดูดเม็ดเงินลงทุน เราต้องเลือกว่าจะไปอยู่ในห่วงโซ่การผลิตของเทคโนโลยีใด เราไม่อยากเป็นผู้รับจ้างผลิต รับจ้างประกอบ รับเศษเงินค่าแรงอีกต่อไป

3. มุ่งกระจายความเจริญ ไม่ใช่กระจุกแค่กรุงเทพฯ เรายังมีศักยภาพในพื้นที่อื่น ถ้าระเบิดศักยภาพได้โดยการกระจายอำนาจ จะทำให้ศักยภาพทางเศรษฐกิจเติบโตได้ดีกว่าเดิม

4. การปฏิรูประบบราชการ รัฐบาลเขียนในคำแถลงว่าเรามีรัฐราชการรวมศูนย์ที่อุ้ยอ้ายซับซ้อนไร้ประสิทธิภาพ ซึ่งเชื่อว่ารัฐบาลรู้ซึ้งกว่าเราแน่นอน เพราะอดีตนายกฯ เศรษฐา ออกข้อสั่งการเกือบ 200 ข้อสั่งการ แต่มีหน่วยงานสนองกลับมาแค่ 10 ข้อ

ในตอนท้าย น.ส.ศิริกัญญา ระบุด้วยว่า ขอให้รัฐบาลกลับมาคิดและให้ความสำคัญกับ 4 เรื่องนี้ ถ้าไม่แก้ที่รากฐาน ศักยภาพของเศรษฐกิจไทยก็คงไม่เปลี่ยนไปจากเดิม และนี่จะเป็นบทพิสูจน์สำคัญของรัฐบาลชุดนี้ว่าจะสามารถอ้างเครดิตจากสิ่งที่เคยทำในอดีตได้อีกต่อไปหรือไม่ แต่เท่าที่ดูจากคำแถลงนโยบายก็ยังไม่เห็นความหวัง.