กว่าจะลงเอยได้ต้องปล้ำผีลุกปลุกผีนั่งเป็นปีๆ เปลี่ยนไป 2 รัฐบาล 2 นายกรัฐมนตรี 2 รัฐมนตรีคลัง

รวมถึงเม็ดเงินที่จะนำมาใช้ในโครงการนี้ ซึ่งเป็นหัวใจ สำคัญ

ที่อวดสรรพคุณว่าดีอย่างนั้นดีอย่างนี้ ไม่ต้องกู้เงินก็ต้องเปลี่ยนใหม่หมด เพราะมิฉะนั้นผิดกฎหมาย

ขืนดื้อดึงไปคง “ติดคุก” กันหัวโตแน่!

จะเดินหน้าก็ไม่ได้เพราะผิดกฎหมาย จะยุติโครงการก็ไม่ได้เพราะผิดสัญญาต้องลากยาวทุลักทุเลมาจนถึงวันนี้

ทั้งหลายทั้งปวงที่เกิดขึ้นนั้นก็เพราะคิดโครงการประชาชนเพื่อเอาชนะคู่แข่งทางการเมือง โดยไม่ได้ศึกษาและตรวจสอบให้ละเอียดถี่ถ้วน

แต่เมื่อ “เจ้าไอเดีย” สั่งให้ทำก็ต้องทำ

โครงการ “ดิจิทัลวอลเล็ต” ที่เริ่มต้นจากเงิน 5 แสนล้านบาท แตกให้ประชาชนอายุ 16 ปีขึ้นไป หัวละ 10,000 บาท

ต้องลดวงเงินเหลือเพียง 4.5 แสนล้านบาท โดยใช้เงินจากงบประมาณปี 67 ส่วนหนึ่งและงบปี 68 ส่วนหนึ่ง

ทำให้ได้เงินมาในโครงการที่ไม่ผิดกฎหมายไม่ผิดวินัยการเงินการคลัง

ทั้งนี้ จะเสนอ ครม. ในวันที่ 17 ก.ย.67 หลังแถลงนโยบายของรัฐบาลในวันที่ 12-13 ก.ย.67 และดีเดย์ในวันที่ 20 ก.ย.67

ซึ่งจะแจกเป็นเงินสดให้กลุ่มเปราะบางและคนพิการก่อนจำนวน 14.5 ล้านคน ไม่ผ่านระบบดิจิทัลสามารถใช้ได้ทุกสถานที่ไม่มีข้อจำกัด

ส่วนที่เหลือจะแจกอย่างไรแบบไหนก็รอฟังรายละเอียดจากคำแถลงนโยบายของรัฐบาล เพราะไม่อยากบอกรายละเอียดล่วงหน้า

เนื่องจากเกรงว่าจะผิดพลาดได้ เพราะทุกอย่างไม่มีแน่นอนต้องรอให้เคาะชัดเจนก่อนดีที่สุด เนื่องจากรัฐมนตรีที่รับผิดชอบยังให้ความชัดเจนไม่ได้

แล้วคนนอกจะยืนยันได้อย่างไร?

ประเด็นคือ แม้โครงการนี้จะผ่านไปได้ “เพื่อไทย” ไม่ผิดสัญญาที่ให้ไว้ แต่ที่สำคัญก็คือจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจให้เกิดพายุหมุนได้ 3 รอบจริงหรือไม่

...

นี่คือประเด็นสำคัญ!

เพราะเงินทุกบาททุกสตางค์ที่เทลงไปนั้น คนได้ชอบคนให้พอใจ แต่คนที่ต้องเสียภาษีในงบประมาณนั้น

คือประชาชนอีกส่วนหนึ่งที่ไม่ได้เสียอะไรด้วย

เท่าที่ได้ข่าวมาจากผู้รับผิดชอบโครงการนี้ค่อนข้างตรงกันว่า ยังไม่แน่ใจว่าจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ไหน

แต่ที่จำเป็นต้องเดินหน้านโยบายนี้ต่อไป เพราะคำสัญญาที่ให้ไว้กับประชาชน

เพราะถ้าทำไม่ได้ “เพื่อไทย” จะเสียคะแนนนิยมอย่างมาก

ไม่ใช่แค่นี้แต่ยังหมายรวมไปถึงความเชื่อถือที่มีมาก่อนหน้านี้จะหายไปทันที

เรื่องนี้ต้องขอบคุณแบงก์ชาติและบรรดานักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายที่ออกมาคัดค้านนโยบายนี้ จนทำให้รัฐบาลต้องปรับแก้จนวุ่นไปหมด

ประเด็นสำคัญก็คือผิดกฎหมายและไม่คุ้มค่า

เพราะมิฉะนั้นคงจะดึงดันเอาให้ได้ตั้งแต่แรกแล้ว!

"สายล่อฟ้า"

คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม