ในที่สุด รัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ก็ได้ฤกษ์แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ในวันที่ 12–13 กันยายน และจะเข้าบริหารประเทศอย่างเป็นทางการ ในวันที่ 14 คำแถลงนโยบายเริ่มต้นด้วยการยอมรับว่า ประเทศไทยกำลังเผชิญความท้าทายมากมาย ทั้งเศรษฐกิจโตช้ากว่าศักยภาพ และความเหลื่อมล้ำที่รุนแรงทุกด้าน

ใน 10 นโยบายเร่งด่วนที่จะทำ ทันที เริ่มต้นด้วยการปรับโครงสร้างหนี้ที่พะรุงพะรัง การส่งเสริมและปกป้องผลประโยชน์ของผู้ประกอบการไทย การลดราคาพลังงานโดยตรง และสำรวจหาแหล่งพลังงานใหม่ ตามด้วยการสร้างรายได้ใหม่ ด้วยการนำเศรษฐกิจนอกระบบภาษี และระบบใต้ดิน การกระตุ้นเศรษฐกิจ ผ่านการผลักดันโดยดิจิทัลวอลเล็ต

ตามด้วยการยกระดับการเกษตรแบบดั้งเดิมเป็นเกษตรทันสมัย การส่งเสริมการท่องเที่ยวแบบใหม่ เช่น การเพิ่มแหล่งท่องเที่ยว ด้วยสถานบันเทิงครบวงจร รวมทั้งการแก้ปัญหายาเสพติดเด็ดขาด การปราบปรามอาชญากรรมข้ามชาติ และการส่งเสริมสวัสดิภาพทางสังคม โดยมีเป้าหมายให้คนไทย “มีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรี”

ใน 10 นโยบายเร่งด่วนที่ต้องทำทันทีไม่ได้เน้นการแก้ปัญหาความเหลื่อมล้ำ แม้จะยอมรับว่ารุนแรงขึ้นทุกที นักวิชาการระบุว่าความเหลื่อมล้ำ ทำให้ประเทศติดหล่ม ทำให้คนถึง 25 ล้านคนกลายเป็นผู้ยากจน เรียนจบแค่ระดับประถม ศึกษาแต่ไม่ได้เรียนต่อ มีรายได้เพียงเดือนละพันกว่าบาท ขณะที่ผู้มีฐานะร่ำรวย การศึกษาสูง ได้เดือนละ 290,000 บาท

การแก้ไขรัฐธรรมนูญใหม่ เพื่อให้การปกครองประเทศเป็นประชาธิปไตย ยึดนิติธรรมเป็นเสาหลักของกระบวนการยุติธรรม ก็ไม่ได้ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน ทั้งๆที่เคยเป็นนโยบายสำคัญของพรรคเพื่อไทย ที่อดีตนายกรัฐมนตรีเศรษฐา ทวีสิน สัญญาว่าจะทำทันที ในที่ประชุม ครม.นัดแรก แต่มีข่าวว่าขอเวลา 4 ปี

...

ส่วนนโยบายเร่งด่วนเรื่องยกระดับการทำเกษตร จากแบบดั้งเดิมเป็นแบบทันสมัย อาจจะสายเกินไป 1 ทศวรรษที่ผ่านมาประเทศไทยประสบความปราชัยย่อยยับในการแข่งขันด้านเกษตร ต้องเสียแชมป์ผู้ส่งออกข้าวของโลกให้อินเดีย ข้าวหอมมะลิและหอมปทุมธานีที่เคยดังระดับโลก ต้องแพ้ข้าวเวียดนามย่อยยับ

มีรายงานข่าวว่า แม้แต่ข้าวหอม ที่ชาวนาไทยชอบปลูกมากที่สุดขณะนี้ไม่ใช่ข้าวหอมไทย แต่เป็นข้าวหอมเวียดนาม น่ากังวลว่ารัฐบาลใหม่จะทำให้คนไทยมีกิน มีใช้ มีเกียรติ มีศักดิ์ศรีจริงหรือ สิ่งที่น่ากลัวคือ “ระบอบทักษิณ” จะกลับมาอีกหรือไม่.