“เอกนัฏ” รมว.อุตสาหกรรมคนใหม่ บอก บ้านเมืองต้องมาก่อน หลังถูกมองหักอุดมการณ์ตัวเอง ปัดตอบเสียมวลชน ขอเวลาพิสูจน์ผลงาน แจงปมเป็นพยานคดี ม.112 ให้ “ทักษิณ” มีหมายเรียกจากตำรวจ

เมื่อเวลา 14.00 น. วันที่ 4 กันยายน 2567 นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงอุตสาหกรรม และเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ในฐานะรัฐมนตรีใหม่ป้ายแดงรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ที่รัฐสภา ถึงกรณีเสียงวิจารณ์ว่าเคยเป็นเลขาธิการกลุ่ม กปปส. ไล่รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี แต่กลับมาร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทย ว่า เมื่ออยู่ในการเมืองตนยินดีรับฟังทุกความเห็น และพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำงาน วันนี้เรื่องบ้านเมืองต้องมาก่อน เชื่อว่าคนที่มีจุดยืนและอุดมการณ์เดียวกันอาจมีวิธีที่ต่างกัน ตนในฐานะเลขาธิการพรรครวมไทยสร้างชาติ ต้องเลือกวิธีที่ดีที่สุดเพื่อเป็นทางออกของประเทศที่ดีที่สุด บางทีอาจเป็นทางออกทางเดียว ยืนยันว่าอยู่ในจุดยืนนี้มาโดยตลอด คืออุดมการณ์ในการปกป้องและรักษาสถาบันที่เป็นเสาหลักของประเทศ

เมื่อถามว่าเกรงจะเสียแนวร่วมหรือกลุ่มสนับสนุนหรือไม่ นายเอกนัฏ ตอบว่า ตนไม่ทราบ แต่ขอให้ผลงานกับระยะเวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ ทุกความเห็น ไม่ว่าจะเป็นคำด่าหรือคำชม ตนยินดีรับฟัง อาชีพนักการเมืองเป็นอาชีพที่ตนรัก และยึดมั่นในอุดมการณ์ที่จะทำงานเพื่อประเทศชาติมาโดยตลอด ก็จะตั้งใจทำงานให้คุ้มค่ากับโอกาสที่ได้รับ

ส่วนประเด็นที่หลายคนใช้คำแรงว่าหักอุดมการณ์ตัวเองนั้น นายเอกนัฏ ระบุว่า เข้าใจเพราะตนยืนอยู่ในอาชีพนี้ การตัดสินใจจะทำอะไรต่างๆ ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ยืนยันว่าได้เลือกทางที่ดีที่สุด ณ จังหวะเวลานี้ ภัยคุกคามและความท้าทายของประเทศมันเปลี่ยนไป ตอนนี้เป็นจังหวะสำคัญที่เราต้องร่วมมือกัน เมื่อถามย้ำว่าสามารถทำงานได้สนิทใจหรือไม่กับลูกของ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี นายเอกนัฏ กล่าวว่า “ก็ต้องทำล่ะครับ วันนี้ขอให้คิดถึงบ้านเมืองเป็นหลัก มันก็สามารถทำงานด้วยกันได้ เราไม่ได้ลืม เราไม่ได้ลบ แต่เราเลือก”

...

ผู้สื่อข่าวถามต่อได้พูดคุยเรื่องนี้กับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตแกนนำ กปปส. หรือไม่ นายเอกนัฏ กล่าวว่า ตนยังคงพูดคุยกับทุกคนปกติ และเข้าใจดี ที่ผ่านมาไม่อยากพูดมาก แต่ไม่ได้แปลว่าไม่รับฟัง เข้าใจว่าคนที่ตำหนิมามีความปรารถนาดี ก็ต้องรับฟังและปรับปรุงตัว แต่ย้ำว่าตลอดชีวิตการทำงานการเมืองที่ผ่านมาตนมีจุดยืน ในครั้งนี้ก็เช่นเดียวกัน ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

สำหรับกรณีข่าวที่ระบุว่า นายเอกนัฏ ไปเป็นพยานให้ นายทักษิณ คดีมาตรา 112 ข้อเท็จจริงเป็นอย่างไร นายเอกนัฏ ตอบว่า ความจริงมีหมายเรียกจากตำรวจมา ตนไม่ได้ไปโดยพลการ หากไม่ไปก็จะต้องถูกหมายจับ จึงต้องไปทำหน้าที่ตามกฎหมาย เรื่องนี้หากยังมีข้อสงสัยตนก็จะหาโอกาสที่แจ้งอย่างเป็นทางการอีกครั้ง ส่วนเรื่องของคุณสมบัติที่มีการท้วงติงกันก่อนหน้านี้ นายเอกนัฏ เผยว่า การตรวจสอบคุณสมบัติไม่ใช่หน้าที่ของตน การได้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีก็ถือว่าเป็นไปตามมาตรฐานการตรวจสอบแล้ว เนื่องจากคดีของตนมีคำพิพากษาของศาลออกมาแล้ว ดังนั้น ที่จะมีการไปร้องให้ตรวจสอบ ขอไม่พูดถึง ขอเดินหน้าทำงานดีกว่า.