“สามารถ” จี้ “นายกฯ แพทองธาร” แสดงความชัดเจน มีพรรคพลังประชารัฐในการจัดตั้งรัฐบาลหรือไม่ ทั้งที่โหวตให้ถึง 39 เสียง พร้อมทวงสัญญาลูกผู้ชายที่บ้านจันทร์ส่องหล้า วัน “เศรษฐา” โดนปลดพ้นตำแหน่ง

วันที่ 28 สิงหาคม 2567 นายสามารถ เจนชัยจิตรวานิช สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ ให้สัมภาษณ์หลังเมื่อวานนี้ (27 สิงหาคม 2567) พรรคเพื่อไทยมีมติไม่ร่วมรัฐบาลกับพรรคพลังประชารัฐ โดยส่วนตัวมองว่า นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ต้องออกมาแสดงความชัดเจนให้กับพรรคพลังประชารัฐ คำว่า “สัญญาลูกผู้ชาย” มันไม่ต้องมีการเซ็นเอกสารใดๆ ทั้งสิ้น แต่เป็นการให้คำมั่นต่อกันว่าหากจะร่วมรัฐบาลแล้ว โหวตให้ก่อนแล้วจะให้ใครดำรงตำแหน่งหรืออย่างไร ซึ่งพรรคพลังประชารัฐก็ทำอย่างเต็มที่

นายสามารถเผยต่อไปว่า เมื่อวันที่ 14 สิงหาคม 2567 นายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกรัฐมนตรี มีคำวินิจฉัยจากศาลรัฐธรรมนูญให้พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ปรากฏว่ามีการเรียกหัวหน้าพรรค เลขาธิการพรรค พรรคร่วมรัฐบาลทุกพรรค ไปบ้านจันทร์ส่องหล้า หนึ่งในนั้นมีพรรคพลังประชารัฐด้วย ซึ่งเขาจะให้ นายชัยเกษม นิติสิริ เป็นนายกรัฐมนตรี และทุกคนอยู่ตำแหน่งเดิม แต่ก็มาเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้น สส.พรรคเพื่อไทย มีมติไม่สบายใจที่จะเป็นคนให้ นายชัยเกษม เป็นนายกรัฐมนตรี ขอเป็น นางสาวแพทองธาร แทน

แต่ปรากฏว่าวันที่ 15 สิงหาคม 2567 มีการมาแถลงข่าวว่าจะโหวตให้ นางสาวแพทองธาร แบบไม่มีเงื่อนไข ตามคำมั่นสัญญาที่ได้คุยกันไว้ ซึ่งในวันที่ 16 สิงหาคม 2567 ปรากฏว่าไม่มีคนแข่งในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะทุกพรรคการเมืองเชื่อคำมั่นสัญญาลูกผู้ชายที่เป็นธรรมเนียมปฏิบัติมาตั้งแต่อดีต เวลาจัดตั้งรัฐบาล ฟอร์มรัฐบาล ก็ใช้สัญญาแบบนี้ ไม่คิดว่าจะมีการเบี้ยวหรือหักหลังกันหรือไม่ แม้แต่คนอภิปรายยังแทบจะไม่มี หากย้อนไปเมื่อครั้งเลือกนายเศรษฐาเป็นนายกรัฐมนตรี มีการอภิปรายอย่างกว้าง ดังนั้นทุกคนเชื่อ นางสาวแพทองธาร จึงไม่มีการเสนอ

...

“สุดท้ายพรรคพลังประชารัฐโหวตให้ 39 คน ขาดเพียง พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ หัวหน้าพรรคพลังประชารัฐ 1 เสียงที่ติดภารกิจอยู่ที่การจัดเลี้ยงนักกีฬาโอลิมปิก และจนตั้งรัฐบาลพรรคพลังประชารัฐก็เชื่อในสัญญาลูกผู้ชาย ส่ง 4 ชื่อรัฐมนตรีเดิมไม่ได้เปลี่ยนชื่อบุคคลใดทั้งสิ้น ซึ่งเป็นมติพรรคและกรรมการบริหารพรรค รวมทั้งมีมติว่าหากนายกรัฐมนตรีไม่สบายใจบุคคลใดให้ส่งรายชื่อกลับมาให้หัวหน้าพรรค กรรมการบริหารพรรคได้มอบอำนาจให้หัวหน้าพรรคพิจารณาเปลี่ยนตัว ยืนยันว่าพรรคพลังประชารัฐไม่มีการต่อรองเก้าอี้หรือร้องขอเก้าอี้ใดๆ ทั้งสิ้น”

นายสามารถเผยต่อไป ทุกคนระบุว่าการพิจารณาแต่งตั้งรัฐมนตรีเป็นอำนาจของนายกรัฐมนตรี เคยได้ยินในคำสัมภาษณ์ของนายกรัฐมนตรีว่ามีพรรคพลังประชารัฐอยู่ แต่การกระทำของพรรคเพื่อไทยมีการไปเทียบเชิญคนนั้นคนนี้ซึ่งได้มีการพูดคุยกับนายกรัฐมนตรีหรือไม่ เขาเข้าใจว่า พล.อ.ประวิตร เป็นปฏิปักษ์ แต่ข้อเท็จจริงพรรคอื่นเป็นปฏิปักษ์มากกว่า

ทั้งนี้ พรรคพลังประชารัฐโหวตให้ 39 คน ส่วนตัวมองว่าไม่เป็นธรรม ส่วนเรื่อง 40 สมาชิกวุฒิสภา (สว.) ปรากฏว่ามี 21 สว. ถ้า พล.อ.ประวิตรอยู่เบื้องหลัง ถ้าจะเอาจริงมาได้หมด ไปไล่เช็กได้เลยว่า 40 คน คนไหนเป็นเพื่อน พล.อ.ประวิตรบ้าง ก่อนจะกล่าวในช่วงท้ายว่า วันนี้ตนเองมาให้ข้อมูลในฐานะประชาชนคนหนึ่ง เพราะตั้งแต่เด็กจนโตไม่เคยเห็นเหตุการณ์แบบนี้ ขอทวงความชอบธรรมคืน โดยเมื่อถามว่า พล.อ.ประวิตร เสียใจหรือไม่ นายสามารถ บอกว่าตอนนี้ก็ยังอารมณ์ดี.