เมื่อวานนี้ผมเขียนแสดงความห่วงใยว่าลำพังลูกสาวเถ้าแก่เข้าบริหารประเทศ ทั้งๆที่ยังฝึกงานไม่พอ แม้จะน่าห่วงใยอยู่แล้ว แต่การที่เถ้าแก่ออกมาแสดงวิสัยทัศน์ราวกับว่าจะบริหารประเทศเสียเองแทนลูก...จะน่าห่วงใยยิ่งกว่า

ผมมีเหตุผลดังนี้ครับ และก็เป็นเหตุผลจากสิ่งที่เคยเกิดขึ้นแล้วและอาจจะเกิดขึ้นอีก หากท่านเข้ามาแสดงตนว่าจะมีบทบาทอย่างมากในเบื้องหลังรัฐบาลใหม่จากนี้เป็นต้นไป

ผมเคยเขียนไว้แล้วหลายๆครั้งว่า คุณ ทักษิณ ชินวัตร นั้นเป็นบุคคลที่เข้าข่ายภาษิตโบราณที่ว่า “คนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ” มากที่สุด ในบรรดานักการเมืองของบ้านเรา

ช่วงนั้นผมยังเข้าใจผิดนึกว่าภาษิตนี้หมายถึงว่า “ผืนหนัง” กับ “ผืนเสื่อ” มีขนาดเท่าๆกัน การที่มีคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ จึงแปลว่าคุณทักษิณมีคนรักและคนชังพอๆกัน

จนกระทั่งเมื่อเร็วๆนี้ ผมไปเปิดดูพจนานุกรมถึงได้ทราบว่าผมเข้าใจผิดอย่างยิ่ง เพราะโดยคำจำกัดความพจนานุกรมมองว่า “ผืนหนัง” เล็กกว่า “ผืนเสื่อ”

ดังนั้น สำนวนคนรักเท่าผืนหนัง คนชังเท่าผืนเสื่อ จึงแปลว่า มีคนรัก “น้อยกว่า” คนชัง

แต่ผมก็ยังขออนุญาตที่จะใช้ภาษิตนี้ต่อ เพราะแม้ว่าผมจะยังประเมินเอาเองว่าคนรักท่านและคนชังท่านน่าจะยังมีสัดส่วนที่พอๆกัน...แต่ถ้าท่านยังออกมาแสดงบทบาทในฐานะ “เถ้าแก่” ตัวจริงมากเกินไปละก็ โอกาสที่จะเป็นไปตามคำจำกัดความที่แท้จริงของสำนวนนี้คือจะมีคนรักท่านน้อยกว่าคนชัง...จะเป็นไปได้สูงทีเดียว

ถ้าคุณทักษิณและพรรคเพื่อไทยสังเกตสักนิด จะพบว่าทันทีที่ท่านไปแสดงวิสัยทัศน์และตอบคำถามพิธีกรในรายการดินเนอร์ทอล์กจบลง ก็เกิดปฏิกิริยาต่อต้านขึ้นอย่างกว้างขวางในสื่อสังคมออนไลน์ต่างๆ

...

บทวิพากษ์วิจารณ์ใน “ยูทูบ” จากนักจัดรายการที่เป็น “ผืนเสื่อ” คือไม่ชอบท่านอยู่แล้วค่อนข้างจะร้อนฉ่าไปตามๆกัน ซึ่งเป็นเรื่องที่คาดหมายได้

แต่ที่น่าห่วงใยก็คือแม้แต่คนที่ออกความเห็นอย่างเป็นกลางมาตลอด ก็ยังพลอยแสดงความเห็นในทางตำหนิท่านไปด้วย ในทำนองว่าที่ท่านให้สัมภาษณ์ก่อนก็ดี หรือที่ไปดินเนอร์ทอล์กก็ดี จะเป็นการ “ครอบงำ” พรรคเพื่อไทย และจะผิดตามมาตรา 28-29 ของกฎหมายเลือกตั้งหรือไม่?

กระเพื่อมไปทั้งสื่อออนไลน์ว่างั้นเถิด

ขอยืนยันอีกครั้งว่าผมไม่เคยฝักใฝ่ฝ่ายไหนพรรคไหน นอกเสียจากพรรคประเทศไทยคืออยากเห็นความเจริญรุ่งเรืองของประเทศไทยอันเป็นที่รักของพวกเราทุกคน

การทะเลาะเบาะแว้งการแตกสามัคคีโดยเฉพาะความวุ่นวายทางการเมืองที่ผ่านมา ล้วนเป็นเหตุใหญ่ที่ทำให้การพัฒนาประเทศไทยของเราไปไม่ถึงที่สุด

ดังนั้น ในช่วงที่เราต้องเผชิญภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตช้า ผู้คนเดือดร้อนเป็นส่วนใหญ่ของประเทศเรา ควรจะมี “รัฐบาล” ที่เป็นหนึ่งเดียว มีการเมืองที่ไม่แยกฝั่งฝ่ายเพื่อแก้ปัญหาอันใหญ่หลวงในครั้งนี้

ผมมองว่า “เถ้าแก่” อยู่เฉยๆจะดีกว่าครับ ขอให้ไปเลี้ยงหลานที่น่ารักของท่านเป็นดีที่สุด...ให้ลูกสาว “เถ้าแก่” เป็นซีอีโอประเทศไปตามความสามารถของเธอ...ผิดบ้างถูกบ้างผมเชื่อว่าประชาชนอาจไม่โกรธเท่ากับตัวเถ้าแก่ออกมาเอง

ผมขอถอนคำพูดหรือข้อเขียนทั้งหมดที่เคยแสดงความไม่ไว้วางใจลูกสาวเถ้าแก่ในคอลัมน์นี้นะครับ เพราะผมชั่งนํ้าหนักดูแล้วว่าให้ลูกสาวเถ้าแก่บริหารประเทศอาจเสียหายน้อยกว่าให้ตัวเถ้าแก่ออกมาแสดงเองครับ...ซตพ.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม