“ภูมิธรรม” ย้ำเร่งจัดตั้งรัฐบาลเสร็จก่อนสิ้นเดือน ส.ค. ชี้สถานการณ์ประเทศรอช้าไม่ได้ กางไทม์ไลน์แถลงนโยบายไม่เกิน 15 ก.ย. ปชป.เข้าร่วมรัฐบาลหรือไม่ ทุกอย่างชัดเจนหลังโปรดเกล้าฯลงมา “หมอมิ้งค์” ย้ำตรวจสอบคุณสมบัติต้องรอบคอบ ป้อง “นายกฯอิ๊งค์” ต้องระวังคนจ้องจับผิดตลอดเวลา ต้องทำให้ถูกต้องที่สุด “วิสุทธิ์” นัดถกพรรคร่วมฯรักษาองค์ประชุมสภาฯ รับศึกในพรรคร่วมฯ “นราพัฒน์” ยัน ปชป.ยังไม่ได้รับเทียบเชิญร่วมรัฐบาล ลั่นพร้อมเป็นทั้งฝ่ายค้านและรัฐบาล “สามารถ” เซ็งเลขาฯพรรคแบ่งก๊กแบ่งพวก ท้าไปนั่ง รมต.สร้างผลงานล้างภาพพรรคอะไหล่รอเสียบ “สมชัย” เตือนกลุ่มก๊วน พปชร.เสนอชื่อ รมต.ขัดมติพรรค เสี่ยงถูกยื่น ป.ป.ช.ฟันผิดจริยธรรมร้ายแรง โทษแรงถูกถอดถอน ตัดสิทธิการเมืองตลอดชีวิต ห่วงนายกฯติดร่างแหเข้าข่ายสมรู้ร่วมคิด มีโทษสถานเดียวกัน

การจัดโผคณะรัฐมนตรี (ครม.) ของรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่จะเป็นไปอย่างราบรื่น เพราะยังมีความไม่ลงตัวภายในของพรรคร่วมรัฐบาล ทั้งพรรคพลังประชารัฐและพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ที่จะดึงมาร่วมรัฐบาล โดยแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) ระบุการจัดตั้งรัฐบาลต้องแล้วเสร็จก่อนสิ้นเดือน ส.ค. โดยเตรียมแถลงนโยบายต่อรัฐสภาไม่เกินวันที่ 15 ก.ย.

...

“อ้วน” แจง “อิ๊งค์” ยังไม่มีอำนาจสั่งการ

เมื่อเวลา 08.40 น.วันที่ 25 ส.ค.ที่ท่าอากาศยานทหาร 2 กองบิน 6 (บน.6) ดอนเมือง กรุงเทพฯ นายภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรีและ รมว.พาณิชย์ ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรีกล่าวถึง กรณีมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ลงพื้นที่ปฏิบัติหน้าที่ ขณะที่ประชาชนกำลังประสบอุทกภัยว่า น.ส.แพทองธารได้รับเลือกจาก สส.เป็นนายกฯ เรียบร้อย แต่ยังเหลือขั้นตอนต่างๆ ที่ต้องมีการโปรดเกล้าฯ และเข้าเฝ้าถวายสัตย์ฯ รวมถึงเข้าแถลงนโยบายต่อสภาผู้แทนราษฎร เมื่อเสร็จสิ้นกระบวนการต่างๆ ถึงจะมีอำนาจสั่งการ ยืนยันว่านายกฯ ห่วงใยและเฝ้าดูที่จะช่วยเหลือ ทั้งในนามหัวหน้าพรรคเพื่อไทย (พท.) และในนามส่วนตัว ในฐานะรัฐบาล และตนที่ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกฯ จะต้องลงพื้นที่และแก้ไขปัญหาโดยตรง จะสั่งการเต็มที่เพื่อให้ทุกอย่างเดินหน้า ข้าราชการส่วนต่างๆ ตั้งใจแก้ไขปัญหาเรื่องน้ำ รัฐบาลพร้อมรับฟังและรวมพลังแก้ไขเต็มที่

เร่งจัดตั้งรัฐบาลก่อนสิ้นเดือน ส.ค.

นายภูมิธรรมในฐานะแกนนำพรรคเพื่อไทย (พท.) กล่าวถึง ความคืบหน้าการจัดตั้งคณะรัฐมนตรีรัฐบาล “แพทองธาร” ที่มีกระแสข่าวว่าต้องดำเนินการให้แล้วเสร็จเพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ 26 ส.ค.ว่า ยังไม่ได้ระบุถึงขั้นนั้น อยู่ที่ความพร้อมทั้งหมด แต่กำลังเร่งเพราะต้องการเห็นการแก้ไขปัญหาอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้มีรัฐบาลใหม่ที่มาจากการเลือกตั้งได้ทำงานเต็มที่ ขออย่ากังวล เพราะเราทำหน้าที่เสมือนรัฐบาลจนกว่าจะมีรัฐบาลใหม่ จึงจะพ้นจากหน้าที่ตามระเบียบข้อบังคับ แต่อยากให้ทุกอย่างเสร็จภายในสิ้นเดือน ส.ค. เพื่อนำขึ้นทูลเกล้าฯ ส่วนจะมีการโปรดเกล้าฯ เมื่อใด อยู่ที่กระบวนการขั้นตอนการตรวจสอบ ส่วนการแถลงนโยบายรัฐบาลต่อรัฐสภา เตรียมคู่ขนานไว้แล้ว ทันทีที่มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง ครม.จะเรียกประชุมได้ คาดว่าภายในต้นเดือน ก.ย.หรือไม่เกินกลางเดือน ก.ย. รัฐบาลชุดใหม่จะทำหน้าที่ได้

สถานการณ์ประเทศรอช้าไม่ได้

เมื่อถามว่า กรณีที่จำนวนคนเกินกว่าตำแหน่งรัฐมนตรี ได้เคลียร์เรื่องนี้หรือยัง นายภูมิธรรมกล่าวว่า เกินเกือบทุกพรรคเพราะไม่รู้ตามดุลพินิจใหม่ที่ศาลรัฐธรรมนูญตีความ คำว่าจริยธรรมไว้กว้างมาก จึงต้องระมัดระวัง ทั้งนี้ตนยังไม่ได้ยื่นใบกรอกประวัติและยังไม่ได้รับแจ้งว่าจะดำรงตำแหน่งในกระทรวงใด เมื่อถามถึงพรรคพลังประชารัฐ (พปชร.) มีข้อสรุปชัดแล้วหรือไม่ หลังมีกระแสข่าวส่งชื่อมา 2 บัญชี นายภูมิธรรมตอบว่า ต้องขออนุญาต เพราะตามมารยาทไม่ควรพูดถึงพรรคอื่น แต่เชื่อว่าแต่ละพรรครู้ดีอยู่แล้ว ต้องรีบดำเนินการให้ทันกับสถานการณ์ของประเทศ เพราะภัยพิบัติต่างๆรออยู่ ไม่อยากให้ช้า ถึงขั้นกระทบต่อภัยพิบัติที่ประชาชนได้รับ ต้องดำเนินการไปตามกระบวนการ

ทุกอย่างชัดเจนหลังโปรดเกล้าฯ

เมื่อถามอีกว่ากรณีพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) จะนับรวมเป็นพรรคร่วมรัฐบาลครั้งนี้หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า การจัดตั้งรัฐบาลมันพูดชัดเจนไม่ได้ จนกว่าสุดท้ายจะตกลงและมีชื่อยื่นและมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯลงมา เพราะในกระบวนการต่างๆ เราไม่รู้ว่าใครจะมีปัญหาหรือไม่ หรือแต่ละพรรคจะได้ตามโควตาที่เป็นอยู่หรือไม่ หรือเกิดปัญหาภายในพรรคที่จัดการไม่ได้หรือไม่ เราไม่รู้ข้อเท็จจริง เมื่อถามว่าการเชิญพรรค ปชป. ร่วมรัฐบาลต้องมีเทียบเชิญ หรือส่งชื่อเข้ามาได้เลย นายภูมิธรรมกล่าวว่า ขณะนี้เราไม่ควรดำเนินการแบบนี้ เพราะจะทำให้เกิดความไม่มั่นใจหรือไม่มั่นคงในพรรคร่วมรัฐบาล เป็นไปตามขั้นตอนหรือ step by step ถ้าเกิดปัญหาตรงไหนค่อยคลี่คลายไปตามสภาพ เพราะวันนี้ได้ร่วมมือกันจัดตั้งรัฐบาล ทุกคนเสนอตัวมาแล้ว ขึ้นอยู่กับว่าจะลงตัวอย่างไร เมื่อถามว่าถ้าพรรค ปชป.เข้าร่วมต้องแจ้งให้พรรคร่วมรัฐบาลทราบใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า ยังไม่ถึงขั้นตอนนั้น ขอคิดในขั้นตอนปัจจุบันและขอคิดเรื่องการแก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนก่อน

คาด รบ.แถลงนโยบายไม่เกิน 15 ก.ย.

ต่อมาที่วัดอัมพวัน (ม่วงใต้) ต.ศรีภูมิ อ.ท่าวังผา จ.น่าน นายภูมิธรรมกล่าวกับประชาชนผู้ประสบภัยน้ำท่วมตอนหนึ่งว่า การลงพื้นที่ครั้งนี้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้มาด้วย แม้ว่าท่านได้รับการเลือกจาก สส.ให้เป็นนายกฯแล้ว แต่กระบวนการจนกว่าจะปฏิบัติหน้าที่ได้มีอีกหลายขั้นตอน ต้องจัดตั้งคณะรัฐมนตรี (ครม.) ซึ่งจะทำให้เร็วที่สุดคาดว่าภายในสิ้นเดือน ส.ค.หรือต้นเดือน ก.ย.จะแล้วเสร็จ และจะถวายสัตย์ปฏิญาณแถลงนโยบายต่อรัฐสภาน่าจะไม่เกิน 15 ก.ย.นี้ จะได้รัฐบาลใหม่เพื่อดำเนินการได้อย่างต่อเนื่อง น.ส.แพทองธารได้แต่แสดงความห่วงใย และอึดอัดใจ แต่ไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น ขณะนี้จึงต้องเป็นหน้าที่ของรัฐบาลปัจจุบันที่ทำหน้าที่แทนรัฐบาลเดิมโดยจะทำหน้าที่อย่างเต็มที่ เมื่อนายภูมิธรรมลงจากเวทีผู้สื่อข่าวจึงถามว่าจะได้คณะรัฐมนตรี (ครม.) ชุดใหม่ในวันที่ 15 ก.ย.ใช่หรือไม่ นายภูมิธรรมกล่าวว่า เป็นเพียงการคาดการณ์ของตน เพราะทุกอย่างขึ้นอยู่กับเงื่อนไข และกฎหมาย

“หมอมิ้งค์” ปัดไม่เกี่ยวจัดคนพรรคอื่น

นพ.พรหมินทร์ เลิศสุริย์เดช อดีตเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ในฐานะแกนนำพรรค พท.ให้สัมภาษณ์ถึงความคืบหน้าการจัดตั้ง ครม.ที่มีกระแสข่าวว่ารายชื่อเกินจำนวนจริง ในฐานะพรรคแกนนำจะจัดการให้ลงตัวโดยเร็วหรือไม่ว่า ไม่เกี่ยว เราตัดสินใจในส่วนของเรา เมื่อถามว่าคาดว่าจะได้ข้อสรุปและจบก่อนสิ้นเดือนนี้หรือไม่ นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า จะต้องมีการตรวจสอบก่อน หากคนที่ได้รับการเสนอชื่อจะต้องกรอกรายละเอียดต่างๆ ที่สำนักงานเลขาธิการคณะรัฐมนตรี (สลค.) แล้วไปดำเนินการ โดย สลค.จะต้องทำอย่างรอบคอบที่สุด

ป้อง “อิ๊งค์” ต้องระวังคนจ้องจับผิดตลอด

เมื่อถามว่าขณะนี้แม้ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี จะยังไม่เริ่มทำงานอย่างเป็นทางการ แต่กลับมีเสียงวิจารณ์แล้ว จะมีการชี้แจงอย่างไรให้ประชาชนเข้าใจบ้าง นพ.พรหมินทร์กล่าวว่า คนต้องเข้าใจกฎหมายก่อน และมีคนคอยจ้องจับผิดอยู่ตลอดเวลา ในช่วงที่ผ่านมาเราจึงต้องทำให้ถูกต้องที่สุด อะไรที่เราสามารถดำเนินการได้ในขอบเขตที่กฎหมายอนุญาต เราก็ดำเนินการ ซึ่งขณะนี้ น.ส.แพทองธารยังไม่สามารถบริหารราชการแผ่นดิน แต่เป็นนายกรัฐมนตรีที่ได้รับการโปรดเกล้าฯแล้ว ฉะนั้น จึงต้องรอดำเนินการให้ถูกต้องตามขั้นตอนต่างๆ ซึ่งขั้นตอนที่สำคัญคือการแต่งตั้งและรอโปรดเกล้าฯ ครม. ก่อน หลังจากนั้นจะต้องมีการแถลงนโยบายต่อสภา จึงจะสามารถบริหารราชการแผ่นดินได้ คาดว่าน่าจะเป็นช่วงสัปดาห์ที่ 2-3 ของเดือน ก.ย.

ปธ.วิป รบ.นัดหารือรักษาองค์ประชุมสภา

นายวิสุทธิ์ ไชยณรุณ สส. บัญชีรายชื่อพรรค พท. ในฐานะประธานคณะกรรมการประสานงานพรรคร่วมรัฐบาลหรือวิปรัฐบาล กล่าวว่า ขณะนี้เป็นช่วงที่อยู่ในระหว่างการคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งรัฐมนตรี เข้าใจว่าพรรคร่วมรัฐบาลแต่ละพรรคยังจะมีปัญหาในเรื่องนี้ ก็ถือเป็นปัญหาภายในแต่ละพรรคที่ต้องไปจัดการกันเอง อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าเรื่องดังกล่าวจะไม่ส่งผลกระทบต่อการประชุมสภาฯ ในการพิจารณากฎหมายต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องของการรักษาองค์ประชุม ทั้งนี้ ในการประชุมวิปรัฐบาลในวันที่ 26 ส.ค.ที่สภาฯ ตนคงจะได้หารือเรื่องดังกล่าว รวมทั้งขอความร่วมมือพรรคร่วมรัฐบาลในเรื่องของการรักษาองค์ประชุม เชื่อว่าพรรคร่วมรัฐบาลยังสามารถทำงาน และฝ่าฟันอุปสรรคร่วมกันไปได้ ไม่มีปัญหา และยังไม่ถึงขั้นวิกฤติ

ปชป.ยันยังไม่ได้รับเทียบเชิญร่วม รบ.

ที่พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) นายนาราพัฒน์ แก้วทอง รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ดูแลพื้นที่ภาคเหนือ กล่าวถึงกรณีกระแสข่าวการร่วมรัฐบาลพรรคเพื่อไทยของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ถึงขณะนี้ยังไม่มีการเชิญประชุมร่วมระหว่างกรรมการบริหาร (กก.บห.) พรรคและ สส.พรรค ตนยืนยันว่าการจะร่วมรัฐบาลหรือไม่นั้น ตามข้อบังคับพรรคได้กำหนดไว้แล้วชัดเจนว่า หากมีเทียบเชิญหรือมีข้อเสนอใดๆมา จะต้องนำเข้าสู่ที่ประชุมกรรมการบริหารพรรคก่อน จากนั้นจึงจะมีการประชุมร่วมระหว่าง กก.บห.และสส.พรรคเพื่อหามติ ยืนยันว่าพรรค ปชป.เราทำงานได้ในฐานะฝ่ายค้านและฝ่ายรัฐบาล หากมีการประชุมร่วมต้องหารือกันว่า หากเป็นฝ่ายค้านจะทำประโยชน์อะไรให้กับประชาชน และถ้าร่วมรัฐบาลจะทำประโยชน์ให้ประชาชนได้อย่างไร เพราะเป็นเรื่องสำคัญ ไม่มีใครตัดสินใจคนเดียวได้ ต้องออกเป็นมติพรรค

ลั่นพร้อมทำหน้าที่ทั้งฝ่ายค้าน-รัฐบาล

เมื่อถามว่า พรรค ปชป.ตัดสินใจร่วมรัฐบาลแล้ว กังวลว่าจะเสียเรื่องฐานเสียงประชาชนผู้สนับสนุนพรรคหรือไม่ นายนาราพัฒน์กล่าวว่า เรื่องการเมือง ต้องเอาประชาชนเป็นที่ตั้งอยู่แล้ว ถ้าเราสามารถทำ อะไรแล้วประชาชนได้ประโยชน์ เราทำตรงนั้นดีกว่า การที่จะมาไกล่เกลี่ยกันว่าพรรคเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ สังคมเขามองว่าพรรคไหนจะทำงานให้ประชาชนได้ ซึ่งพรรค ปชป.มีการเตรียมตัว เราเตรียมความพร้อมเพื่อรองรับในอนาคต หากพรรคจะเป็นพรรคทางเลือกให้กับประชาชน ซึ่งยืนยันว่าไม่ว่าจะทำเป็นฝ่ายค้านหรือรัฐบาลเราก็พร้อมทำหน้าที่

ไล่ “กลุ่มทำงาน” กู้ภาพอะไหล่รอเสียบ

นายสามารถ ราชพลสิทธิ์ อดีตรองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) โพสต์เฟซบุ๊กในหัวเรื่อง “ไปเป็น รมต.เลย ถ้าคิดว่า “ทำงานเก่ง” ใจความว่า เพิ่งได้ยินว่ามีผู้แบ่ง สส.ปชป.เป็น 2 กลุ่ม กลุ่มหนึ่ง “พูดเก่ง ตำหนิเก่ง แต่ทำงานไม่เก่ง” อีกกลุ่ม “พูดไม่เก่ง ตำหนิไม่เก่ง แต่ทำงานเก่ง” กลุ่มที่อ้างว่าทำงานเก่ง บอกรอเข้าร่วมรัฐบาล จะได้มีโอกาสสร้างผลงานให้ประเทศชาติและประชาชน เท่ากับสร้างผลงานให้พรรคด้วย แต่คงลืมไปว่าฝ่ายค้านก็สร้างผลงานให้กับประเทศชาติ ประชาชน และพรรคได้ด้วย ถ้ามุ่งมั่นค้านอย่างสร้างสรรค์ด้วยการปกป้องผลประโยชน์ของประเทศชาติและประชาชนเต็มที่ มีหลายเรื่องที่ควรทำไม่วางเฉยด้วยลักษณะท่าทีเกรงใจรัฐบาล ครั้งนี้จะได้เป็น รมต.ตามปรารถนาแล้วขอให้สร้างผลงานตามที่ได้ประกาศก้องไว้ อย่าลืมว่าต้องเร่งสร้างประโยชน์ให้ประเทศชาติและประชาชน และนำผลงานเหล่านั้นกลับมากอบกู้พรรคให้ได้ จะติดตามเป็นกำลังใจให้ ที่สำคัญการเข้าร่วมรัฐบาลต้องเข้าร่วมอย่างมีเกียรติและศักดิ์ศรี ไม่ปล่อยให้พรรคถูกตราหน้าว่าเป็นเพียงแค่พรรคอะไหล่รอเสียบเท่านั้น การเลือกตั้งครั้งหน้าต้องทำให้พรรค ปชป.มี สส.มากกว่าเดิม

โต้อยู่ฝ่ายค้านทำประโยชน์ได้มากกว่า

นายสามารถให้สัมภาษณ์เพิ่มเติมว่า 2 วันหลังเห็นข่าวที่เลขาธิการพรรคพูดเช่นนี้ ทั้งที่เป็นพรรคเดียวกัน ทำไมผู้ใหญ่ของพรรคมาพูดแบ่งแยกเช่นนี้ ทั้งที่คุมเสียงข้างมากทั้งในกรรมการบริหารพรรคและ สส. พรรคอยู่แล้ว ออกมติใดชนะอยู่แล้ว การทำหน้าที่ของ สส.หรือพรรคการเมือง เป็นฝ่ายค้านทำประโยชน์เพื่อประเทศชาติบ้านเมืองและเป็นปากเสียงแทนพี่น้องประชาชนได้ และทำได้ดีกว่าการเป็นรัฐบาลผสมด้วย ถ้าทำหน้าที่ฝ่ายค้านเข้มแข็งตรวจสอบได้ทุกกระทรวง ทบวง กรมของรัฐบาล ดีกว่าการเป็นรัฐมนตรีรับผิดชอบงานแค่กระทรวงเดียว อยู่ที่ว่าทำหน้าที่ฝ่ายค้านเต็มที่เข้มแข็งจริงจังแล้วหรือไม่ อย่างไร ไม่ใช่พินอบพิเทาต่อรัฐบาล เมื่อคิดว่าทำงานเก่งขอให้ไปเป็นรัฐมนตรีตามที่ต้องการ และบริหารงานให้เห็นเป็นรูปธรรม นำชื่อเสียงฟื้นศรัทธาให้พรรค ปชป.

“วัชระ” คาใจ “ขิง” ให้การเข้าข้าง “ทักษิณ”

นายวัชระ เพชรทอง อดีต สส.พรรค ปชป. กล่าวถึงกรณีนายอรรถวิชช์ สุวรรณภักดี สมาชิกพรรครวมไทยสร้างชาติ (รทสช.) ยอมรับว่า สำนักงานตำรวจแห่งชาติมีหมายเรียกให้นายเอกนัฏ พร้อมพันธุ์ เลขาธิการพรรค รทสช. ไปให้ปากคำคดีมาตรา 112 ของนายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ต้องถามว่าไปในฐานะอะไร เป็นผู้อยู่ในเหตุการณ์หรือเป็นตัวพยานที่นายทักษิณกล่าวอ้างในหนังสือขอความเป็นธรรมให้สอบพยานเพิ่มเติม ถ้าอ้างว่าไปตามหน้าที่ตามกฎหมาย เหตุใดจึงไม่เปิดเผยต่อสาธารณชนตั้งแต่ต้น และเหตุใดจึงไปให้การเข้าข้างนายทักษิณ ถ้าผู้ต้องหาไม่ระบุชื่อนายเอกนัฏ ตำรวจจะออกหมายเรียกให้ไปเป็นพยานหรือ น่าสงสัยในพฤติกรรมคือเหตุใดจึงไปให้การเข้าข้างเป็นประโยชน์ต่อทักษิณมากที่ระบุว่าคำพูดของทักษิณไม่เข้ามาตรา 112 ทั้งที่เป็นอดีตเลขาธิการ กปปส. ผู้นำเป่านกหวีดต่อต้านรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ ที่นายอรรถวิชช์พูดว่าไม่ใช่การเสนอตัวไปให้การเอง ขอให้ไปโกหกที่อื่น ถ้าไม่ใช่การเสนอตัวหรือถูกครอบงำสมยอมมาตั้งแต่ต้น

คดี กปปส.ต้องส่งศาลฎีกาชี้ขาด

นายวัชระกล่าวต่อว่า คดี กปปส.นายอรรถวิชช์ควรกลับไปอ่านระเบียบการดำเนินคดีอาญาของสำนักงานอัยการสูงสุดว่า ศาลชั้นต้นและศาลอุทธรณ์พิพากษาต่างกัน ต้องฎีกาต่อศาลสูงให้วินิจฉัยชี้ขาด ไม่ใช่คดีหยุดอยู่ที่ศาลอุทธรณ์เท่านั้น ควรไปอ่านระเบียบ หรือถามอัยการอาวุโส ส่วนการไปต่อรองตำแหน่งทางการเมือง ไม่ได้พูดนายอรรถวิชช์พูดเอง ใครจะเล่นลิเกหลอกมวลมหาประชาชนว่าไปตามบท แต่ขอนำความจริงมาบอกพี่น้องประชาชนให้ตาสว่าง ตนใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ขัดขาใครเป็นรัฐมนตรี เพียงแต่ต้องเป็นไปตามจริยธรรมที่ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยไว้แล้ว ไม่ต้องมาเสียเวลาเปลี่ยนนายกฯคนใหม่อีก เสียโอกาสซ้ำซากแก้ไขปัญหาความ เดือดร้อนของประชาชน นายอรรถวิชช์ควรดูเรื่องนี้ให้ลึกซึ้งรอบด้าน

“สมชัย” เตือนสติชงชื่อ รมต.ขัดมติพรรค

นายสมชัย ศรีสุทธิยากร อดีตคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) กล่าวถึงการเสนอชื่อบุคคลดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีในส่วนของพรรค พปชร.ที่เสนอรายชื่อบุคคลไม่ตรงกับมติกรรมการบริหารพรรคว่า ตาม พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมืองและข้อบังคับพรรคการเมือง การเสนอชื่อบุคคลเป็นรัฐมนตรีต้องทำอย่างเป็นทางการผ่านมติ กก.บห. ก่อนจะผ่าน กก.บห.ต้องประกาศให้สมาชิกทราบอย่างกว้างขวางก่อน สิ่งที่เป็นทางการกรณีนี้คือ รายชื่อ 4 รัฐมนตรีชุดเดิมของพรรค พปชร.ตามมติกรรมการบริหารพรรค แต่หากบุคคลอื่นไปเสนอชื่อบุคคลเป็นรัฐมนตรี โดยไม่ใช่มติกรรมการบริหารพรรค แม้จะทำได้ในนามส่วนตัว แต่มีปัญหาว่าเป็นการทำผิดวินัยพรรคหรือผิดจริยธรรมของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองหรือไม่ เพราะการเสนอชื่อบุคคลที่ไม่ได้เป็นไปตามมติพรรค เสี่ยงต่อการถูกยื่นตีความ ส่งเรื่องให้ ป.ป.ช.วินิจฉัยเรื่องความผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง ในประเด็นแสวงหาประโยชน์ส่วนตัว นำไปสู่การถอดถอนและตัดสิทธิทางการเมืองตลอดชีวิต ในแง่ของพรรคการเมืองต้องมีวินัยกำกับสมาชิกพรรค พ่วงไปกับเรื่องมาตรฐานจริยธรรม เช่นเดียวกับกรณีของพรรค ปชป. การเสนอชื่อบุคคลเป็นรัฐมนตรีต่อแกนนำพรรครัฐบาล โดยไม่ผ่านมติ กก.บห.มีความเสี่ยงถูกยื่นตีความได้เช่นกัน

ห่วงนายกฯโดนหางเลขผิดด้วย

นายสมชัยกล่าวว่า ส่วนกรณีพรรคแกนนำรัฐบาลที่ไปรับรายชื่อจากบุคคลอื่น โดยไม่ใช่มติพรรคการเมืองนั้นๆ แล้วไปแต่งตั้งเป็น ครม.ก็มีความเสี่ยงถูกยื่นเอาผิดได้เช่นกัน ข้อหาฝ่าฝืนมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรง เพราะผู้บริหารพรรคการเมืองหรือนายกรัฐมนตรีที่รับรู้ว่ารายชื่อที่เสนอมาไม่ถูกต้อง ไม่ผ่านมติกรรมการบริหารพรรค แต่ยังเสนอชื่อเป็นรัฐมนตรี อาจเข้าข่ายสมรู้ร่วมคิด มีสิทธิถูกยื่นตีความความผิดมาตรฐานจริยธรรมร้ายแรงได้เช่นกัน ขอให้ระวังไว้ คนที่เสนอรายชื่อมาอาจไม่ได้คิดอะไร แต่ไม่ได้มองรายละเอียดกฎหมายให้รอบคอบพอ อาจเป็นมุมที่สร้างปัญหาได้ในอนาคต

ยื่นสอบ “อิ๊งค์” รับผลประโยชน์มิชอบ

นายเรืองไกร ลีกิจวัฒนะ สมาชิกพรรคพลังประชารัฐ กล่าวว่า ได้ส่งหนังสือผ่านทางไปรษณีย์อีเอ็มเอส ถึงคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ตรวจสอบ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะได้รับแต่งตั้งเป็นรองประธานกรรมการยุทธศาสตร์ซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ รองประธานกรรมการพัฒนาระบบสุขภาพแห่งชาติ และประธานกรรมการพัฒนาซอฟต์พาวเวอร์แห่งชาติ ซึ่งควรเป็นเจ้าพนักงานของรัฐตามความในมาตรา 4 พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริต พ.ศ.2561 มีการฝ่าฝืนรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันเข้าข่ายฝ่าฝืนมาตรา 128 หรือไม่ เพราะปรากฏข่าว น.ส.แพทองธารยกครอบครัวเที่ยวแรนโชชาญวีร์ รีสอร์ตหรู ของนายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.มหาดไทย มีการร่วมตีกอล์ฟหลายคน ทั้งรัฐมนตรี ข้าราชการ มีการร่วมรับประทานอาหาร ร้องเพลง มี น.ส.แพทองธารรวมอยู่ด้วย ขอให้ ป.ป.ช.ตรวจสอบ การตีกอล์ฟ การรับประทานอาหารร้องเพลงดังกล่าวเกิดเมื่อใด มีการจ่ายค่ากรีนฟี แคดดี้ ค่ารถ กอล์ฟ ค่าอาหารเครื่องดื่มจำนวนเท่าใด ใครจ่ายเข้าข่ายมีการรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใด อันฝ่าฝืนมาตรา 128 ที่ห้ามเจ้าพนักงานของรัฐรับทรัพย์สินหรือประโยชน์อื่นใดอันอาจคำนวณเป็นเงินได้จากผู้ใดนอกเหนือจากทรัพย์สินหรือประโยชน์อันควรได้ตามกฎหมาย

นักร้องนิรนามชงยุบ พท.ให้ “ทักษิณ” ชี้นำ

ผู้สื่อข่าวรายงานจากสำนักงานคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ว่า เมื่อวันที่ 19 ส.ค. มีผู้ร้อง ที่ขอสงวนชื่อและนามสกุล ไปยื่นหนังสือร้องเรียน กกต. เพื่อขอให้ยื่นเรื่องต่อศาลรัฐธรรมนูญให้มีคำสั่งยุบพรรคเพื่อไทย (พท.) อ้างคำวินิจฉัย ศาลรัฐธรรมนูญ จากเรื่องพิจารณาที่ 17/2567 กรณีนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกฯ ไม่มีความซื่อสัตย์สุจริตเป็นที่ประจักษ์ และฝ่าฝืนมาตรฐานทางจริยธรรมร้ายแรง ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ไปเมื่อวันที่ 14 ส.ค. เอกสารผู้ร้องอ้างว่าจากหลักฐานคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญอันควรเชื่อได้ว่าพรรค พท.ยินยอมให้บุคคลที่ไม่ใช่สมาชิกชี้นำกิจกรรมของพรรค ประกอบกับพฤติการณ์ของแกนนำพรรค พท.แสดงออกในหลายเหตุการณ์ถึงการให้การยกย่อง ให้ความสำคัญ ให้ความใกล้ชิด ให้การต้อนรับและการให้สัมภาษณ์สื่อฯถึงการยอมรับการชี้นำจากนายทักษิณ รวมทั้งการนำวิดีโอที่นายทักษิณ ชินวัตร ชี้นำแนวทางไม่ให้พรรค พท.เป็นพรรคการเมืองแนวอนุรักษนิยมใหม่ และชี้นำการปฏิบัติตนของสมาชิกพรรค พท.มาเปิดในที่ประชุมใหญ่สามัญประจำปี 2567 ภายใต้การรู้เห็นของ กก.บห.พรรค พท. อันเป็นการกระทำที่ขัดต่อ พ.ร.ป.พรรคการเมือง พ.ศ.2560 มาตรา 28 และมาตรา 29 อันทำให้การใช้เสรีภาพในการจัดตั้งพรรคการเมืองไม่เป็นไปตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 45 วรรคหนึ่ง และวรรคสอง

“ไพศาล” กระพืออีก 3 เรื่องกำลังมา

นายไพศาล พืชมงคล นักกฎหมายและอดีตกรรมการผู้ช่วยรัฐมนตรี ประจำสำนักนายก (พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกฯ) โพสต์เฟซบุ๊ก ระบุข้อความว่า อาถรรพ์ 319 เอาแล้ว มีผู้ร้องต่อ กกต.ขอให้ยุบพรรค พท. และตัดสิทธิทางการเมืองนายกฯอิ๊งค์ ฐานยอมให้นายทักษิณครอบงำพรรคโดยผ่านทางอดีตนายกฯเศรษฐา ให้แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีโดยขัดต่อรัฐธรรมนูญ และอ้างคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ในการถอดถอนนายกฯเศรษฐา เป็นหลักฐานถ้ามีการยุบพรรค นายกฯอิ๊งค์จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองด้วย อย่าทำเป็นเล่นกับพวกช่างร้องเป็นอันขาด นักร้องเป็นใครไม่รู้ ยิ่งผู้ลึกลับที่อยู่เบื้องหลังนักร้องยิ่งไม่รู้ใหญ่ เมื่อไม่รู้ว่ารบกับใคร ยากที่จะได้ชัยชนะ ชะตากรรมของนายกฯอิ๊งค์ จึงขึ้นอยู่กับอดีตนายกฯเศรษฐาว่าจะยอมรับกับ กกต.หรือไม่ว่า นายทักษิณเป็นคนกำหนดให้แต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรีและขึ้นอยู่กับนักร้องจะนำพยานหลักฐานไปพิสูจน์ได้อย่างชัดเจนหรือไม่ว่านายทักษิณคือผู้ที่กำหนดให้มีการแต่งตั้งนายพิชิต และขึ้นกับ กกต.ว่าจะมีความเห็นว่ามีหลักฐานอันควรเชื่อได้หรือไม่ว่านายทักษิณเป็นผู้กำหนด ให้เสนอแต่งตั้งนายพิชิต ชื่นบาน เป็นรัฐมนตรี ขณะที่เค้าดำทะมึนอีก 3 เรื่องกำลังประดังเข้ามา คือเรื่องทุจริตในการสอบ เรื่องการครอบงำพรรค ในการตั้งรัฐบาล และเรื่องปลุกผียายเนื่อมนี่แหละที่เขาว่า การเมืองนั้นโหดเหี้ยมอำมหิต เพราะมันเป็นสงครามที่ไม่หลั่งเลือด

พท.ปัด “ทักษิณ” ครอบงำพรรค

นายสรวงศ์ เทียนทอง เลขาธิการพรรค พท. กล่าวถึงกรณีมีผู้ร้องต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ให้ยุบพรรคเพื่อไทย และตัดสิทธิทางการเมือง น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่ยอมให้ นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯครอบงำพรรคเพื่อไทย ผ่านทางนายเศรษฐา ทวีสิน อดีตนายกฯ ที่แต่งตั้ง นายพิชิต ชื่นบาน เป็น รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี โดยขัดรัฐธรรมนูญ และอ้างคำวินิจฉัยศาลรัฐธรรมนูญ ในการถอดถอนนายเศรษฐาเป็นหลักฐานว่า ต้องขอจำกัดความคำว่าครอบงำก่อน คือการให้คำปรึกษาหรือเข้ามาสั่งการ เพราะการเข้าสั่งการไม่มีแน่นอน พรรคเพื่อไทยทำงานเป็นระบบพรรคการเมือง มีกรรมการบริหารพรรค ทุกอย่างเป็นไปตามระบบอย่างที่หลายสื่อพูดว่า อดีตนายกฯทักษิณแนะนำหลายๆอย่าง เป็นสิ่งที่ต้องแยกให้ออกก่อน การแนะนำหรือการครอบงำต่างกันเยอะ

ร้องมาก็เตรียมพร้อมสู้คดี

เมื่อถามว่า จะเข้าข่ายผิดมาตรา 29 หรือไม่ ที่ระบุว่าห้ามครอบงำจากคนนอก นายสรวงศ์ตอบว่า หากร้องจริงพวกเราทำอะไรไม่ได้ นอกจากเตรียมสู้คดี หากศาลรับคำร้องเป็นเรื่องนอกเหนือการควบคุม หากมีคนจะร้องจริงๆ เราเป็นผู้ถูกฟ้องต้องเป็นฝ่ายชี้แจง แต่ไม่ทราบจริงๆว่าร้องในกรณีไหน การบริหารหรือแต่งตั้งนายกฯ ส่วนที่ผู้ร้องมีหลักฐานหลายอย่างมาประกอบเป็นร่างในการฟ้องครั้งนี้ ขอพูดตรงๆเห็นแก่บ้านเมืองบ้าง ทุกครั้งที่มีการร้องเรียน ไม่ใช่แค่ประเด็นการเมือง แต่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจ ความเป็นอยู่ประชาชน การทำงานของรัฐบาลกำลังไปได้ด้วยดี เมื่อมีหน้าที่จะร้องก็ร้องไป อะไรที่พรรคเพื่อไทยจะต่อสู้ หากศาลรับพวกเราก็พร้อม

“ทักษิณ” จ่อไปเชียงรายช่วยชาวบ้าน

นายยงยุทธ ติยะไพรัช อดีตประธานรัฐสภา เปิดเผยว่า จากสถานการณ์อุทกภัยในพื้นที่ จ.เชียงราย มีประชาชนได้รับผลกระทบเป็นจำนวนมาก ขณะนี้ภาครัฐระดมกำลังเข้ามาช่วยเหลืออย่างเต็มที่แล้ว ในส่วนของภาคประชาชนในพื้นที่ พวกตนทำงานกันอย่างเต็มที่ เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ให้ประชาชนให้ได้มากที่สุด และในวันที่ 27 ส.ค. นายทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ที่วันนี้มีฐานะเป็นประชาชนคนหนึ่ง จะเดินทางไป จ.เชียงราย จะลงมาให้กำลังใจและช่วยเหลือชาวบ้านที่ประสบกับปัญหาอยู่ในขณะนี้ด้วย รวมทั้งจะให้คำแนะนำเกี่ยวกับการฟื้นฟูพื้นที่ นอกจากนี้จะได้แลกเปลี่ยนข้อมูลเกี่ยวกับเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นในปัจจุบันในพื้นที่
จ.เชียงราย ด้วย

ชาวบ้านหวัง รบ.ใหม่แก้ปัญหา ศก.

วันเดียวกัน สวนดุสิตโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนทั่วประเทศ เรื่อง “ความคาดหวังของประชาชนต่อ ครม.ชุดใหม่” ระหว่างวันที่ 21-23 ส.ค. จากกลุ่มตัวอย่างจำนวน 1,164 คน พบว่า อยากให้ ครม.ชุดใหม่ควรต้องเร่งแก้ปัญหาเศรษฐกิจเป็นอันดับแรก ร้อยละ 74.43 และคาดหวังว่าจะทำงานดีขึ้น กระทรวงต่างๆร่วมมือกันทำงานได้ดีขึ้น ร้อยละ 70.30 โดยมองว่า “ความซื่อสัตย์และจริยธรรม” ทางการเมืองเป็นปัจจัยที่มีผลต่อการคัดเลือก ครม.ชุดใหม่ ร้อยละ 84.19 การปรับ ครม.ครั้งนี้คาดหวังว่าน่าจะส่งผลให้การทำงานของรัฐบาลดีขึ้น ร้อยละ 46.39 สุดท้ายการปรับ ครม.จะส่งผลต่อสถานการณ์บ้านเมืองอย่างไรนั้น ยังคาดการณ์อะไรไม่ได้ ร้อยละ 30.50

เป็นไปไม่ได้ “อิ๊งค์” บริหารโดยไม่มีพ่อ

“นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) เผยผลการสำรวจเรื่อง “บทบาทอดีตนายกฯ ทักษิณ ในรัฐบาลอิ๊งค์” เมื่อวันที่ 20-21 ส.ค.67 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไปทั่วประเทศรวม 1,310 ตัวอย่าง เมื่อถามความคิดเห็นของประชาชนถึงความเป็นไปได้ที่นายกฯแพทองธาร ชินวัตร จะบริหารประเทศโดยปราศจากนายทักษิณ ชินวัตร ร้อยละ 59.01 ระบุเป็นไปไม่ได้เลย ร้อยละ 15.42 ไม่น่าเป็นไปได้ ร้อยละ 14.96 ค่อนข้างเป็นไปได้ ร้อยละ 9.77 เป็นไปได้แน่นอน และร้อยละ 0.84 ไม่ตอบ/ไม่สนใจ ด้านบทบาทที่นายทักษิณควรมีในรัฐบาล น.ส.แพทองธาร ร้อยละ 37.79 ระบุไม่ดำรงตำแหน่งใดๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 28.85 ไม่ดำรงตำแหน่งใดๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วยหรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ ร้อยละ 26.95 ไม่ดำรงตำแหน่งใดๆไม่อยู่หลังฉาก และปล่อยให้ น.ส.แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 6.03 ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วยหรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ และร้อยละ 0.38 ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

“ทักษิณ” ไร้ตำแหน่งแต่ชักใยหลังฉาก

เมื่อถามถึงบทบาทของนายทักษิณในความเป็นจริงที่ประชาชนจะได้เห็นในรัฐบาลนายกฯ แพทองธาร ร้อยละ 39.39 ระบุไม่ดำรงตำแหน่งใดๆ แต่อยู่หลังฉากในการช่วยหรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่ น.ส.แพทองธาร ร้อยละ 31.91 ระบุไม่ดำรงตำแหน่งใดๆ ไม่อยู่หลังฉาก แต่อาจให้คำปรึกษาอย่างไม่เป็นทางการในฐานะพ่อ-ลูก ร้อยละ 18.70 ไม่ดำรงตำแหน่งใดๆ ไม่อยู่หลังฉากและปล่อยให้ น.ส.แพทองธาร เป็นอิสระในการบริหารประเทศ ร้อยละ 9.08 ดำรงตำแหน่งที่เป็นทางการในการช่วย หรือให้คำปรึกษาในการบริหารประเทศแก่นายกฯ แพทองธาร และร้อยละ 0.92 ไม่ตอบ/ไม่สนใจ

อ่าน "คอลัมน์หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ" ทั้งหมดที่นี่