ผมเขียนถึง “การเมือง” ของประเทศไทยครั้งหลังสุด เมื่อวันพุธที่ 21 สิงหาคมที่ผ่านมา บรรยายถึงความห่วงใยและหนักใจที่เราจะได้นายกรัฐมนตรี “มือใหม่” มาดำรงตำแหน่งแทนคุณเศรษฐา ทวีสิน ที่ต้องพ้นจากตำแหน่งด้วยอุบัติเหตุทาง “จริยธรรม” ดังที่ทราบกันดีอยู่แล้ว

โดยยกทฤษฎี “ลูกเถ้าแก่” หรือระบบการปั้นลูกๆของตนเองให้ขึ้นมาบริหารบริษัทของบรรดาเถ้าแก่ทั้งหลาย ทั้งบริษัทจริงๆ และบริษัท “สมมติ” คือทายาททางการเมืองของประเทศในภูมิภาคนี้

ทุกๆ “เถ้าแก่” จะใช้ทฤษฎีเดียวกันหมด คือส่งลูกๆไปเรียนนอก ไปเรียนมหาวิทยาลัยที่แข็งแกร่ง เสร็จแล้วก็ให้ฝึกงานทั้งที่เมืองนอก และทำงานในบริษัทตนเองโดยเริ่มจากระดับล่างๆสุด พร้อมกับโยกย้ายให้ไปทำแผนกโน้น แผนกนี้ รอจนลูกเชี่ยวชาญอย่างดีแล้วจึงค่อยดึงขึ้นมาเป็น ซีอีโอ สืบทอดตำแหน่งต่อไป

เถ้าแก่ ฮุน เซน เป็นตัวอย่างที่ดีว่าใช้ทฤษฎีนี้ร้อยเปอร์เซ็นต์ ส่งลูกไปเรียนทั้ง “เวสต์พอยท์” ทั้ง “นิวยอร์ก ยู” และที่ บริสตอล ยู ของอังกฤษจนจบปริญญาเอก และให้กลับมารับราชการทหารไต่เต้าจากชั้นผู้น้อยจนได้เป็นถึงรอง ผบ.สูงสุด ยศพลเอก

ต่อมาเถ้าแก่ ลี เซียนลุง แห่งบริษัทประเทศสิงคโปร์จำกัดก็ทำบ้าง ซึ่งจะไปตำหนิท่านก็ไม่ได้ เพราะพรรคการเมืองที่คุณพ่อ ท่าน ลี กวนยู สร้างไว้นั้นได้รับความนิยมมาก เลือกตั้งเมื่อไรก็ชนะขาดลอย ทำให้พรรคของท่านผูกขาดเป็นซีอีโอของสิงคโปร์เรื่อยมา

แต่พรรคของท่านก็วางระบบสร้าง “ผู้นำองค์กร” เอาไว้ดีมาก...ใช้ระบบลูกเถ้าแก่นั่นแหละ แต่จะเป็นลูกใครก็ได้ ไม่จำเป็นต้องลูกของคนตระกูลลี

พรรคจะไปเลือกเด็กเก่ง เด็กมีแววดีอุทิศตนเพื่อชาติบ้านเมือง ให้มารับทุนไปเรียนนอกจำนวนหนึ่งแล้วก็ให้เด็กๆพวกนี้กลับมาทำงานไปพร้อมกับการติดตามประเมินผลของกรรมการพรรค...เพื่อเลือกคนเหมาะสมที่สุดให้เป็นซีอีโอ

...

ซึ่งก็เลือกท่าน ลอว์เรนช์ หว่อง ที่จบตรี โทจากมหาวิทยาลัยชั้นนำของสหรัฐฯ ผ่านการฝึกงานอย่างช่ำชองถึงขั้นเป็นรองนายก รัฐมนตรีให้ขึ้นดำรงตำแหน่งแทน ลี เซียนลุง

ในขณะที่ของไทยเราได้ลูกสาวเถ้าแก่ ซึ่งไม่แน่ใจนักว่าจะเตรียมการมาเพื่อเป็นซีอีโอบริษัทประเทศไทยหรือไม่ เพราะแม้ต่อมาจะได้เป็นหัวหน้าพรรคเพื่อไทย แต่ก็ยังฝึกงานได้ไม่ครบทุกตำแหน่งหน้าที่ (ไม่เคยเป็นรัฐมนตรี) จู่ๆก็ขึ้นเป็นซีอีโอประเทศไทยเลย ผมจึงห่วงใยและกังวล

พร้อมกับทิ้งท้ายว่าจะทำอย่างไรได้ เมื่อรัฐธรรมนูญเขียนไว้อย่างนี้ก็ต้องดำเนินไปอย่างนี้...แม้จะห่วงนักหนาก็คงต้องให้โอกาสไปตามกติกา...โดยพวกเราชาวไทยก็หันมาพึ่งทฤษฎี “มูเตลู” วิงวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์ให้ช่วยคุ้มครองประเทศไทยของเราควบคู่ไปด้วย

ผมนึกไม่ถึงจริงๆว่าข้อห่วงใยของผมที่เขียนไว้นี้จะกลายเป็นเรื่อง “เชย” และ “ล้าสมัย” ไปอย่างรวดเร็วมาก

เนื่องจากเถ้าแก่ซึ่งต้องโทษอยู่ได้พ้นโทษเป็นผู้บริสุทธิ์ก่อนกำหนดเล็กน้อย ออกมาให้สัมภาษณ์ในเรื่องการเมืองต่างๆเอง

แถมยังออกไปเป็น “วิทยากร” ในงานดินเนอร์ทอล์ก ของสื่อสำนักหนึ่ง พร้อมกับแสดงวิสัยทัศน์ทางการเมือง ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือนโยบายของพรรคเพื่อไทยทั้งสิ้น

แล้วจะไม่ให้ความวิตกความห่วงใยในชาติบ้านเมืองของผม หนักหนาสาหัสขึ้นอีกเป็นทวีคูณอย่างไรได้

เพราะเพียงแค่ “เถ้าแก่” ออกมาให้สัมภาษณ์และแสดงวิสัยทัศน์ผ่านสื่อเท่านั้นแหละ...เสียงคัดค้าน เสียงตำหนิติติง เสียงวิพากษ์ วิจารณ์ก็ดังอึงมี่ไปทั้งประเทศ...ส่อเค้าว่าความยุ่งยาก ความขัดแย้งจะเกิดขึ้นอีกแน่นอนในอนาคต

ทฤษฎี “มูเตลู” ขอพรจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เฉพาะในประเทศไทยอย่างเดียวเห็นจะไม่พอเสียแล้วครับ...ต้องขอให้สิ่งศักดิ์สิทธิ์ทั้งหลาย “ในสากลโลก” มาช่วยแน่นอนครับ นับแต่นี้ไป.

“ซูม”

คลิกอ่านคอลัมน์ “เหะหะพาที” เพิ่มเติม