ระหว่างที่ฝุ่นการเมืองยังคลุ้งเพราะเพิ่งตั้งนายกรัฐมนตรี ใหม่จึงต้องตั้ง ครม.ชุดใหม่และเตรียมนโยบายของรัฐบาล
ทุกอย่างจึงยังไม่ลงตัวแน่นอนได้แต่คาดเดากันไปเท่านั้น
มีประเด็นทางการเมืองที่น่าสนใจไม่น้อยว่าทำไม “ทักษิณ ชินวัตร” จึงกล้าให้ลูกสาว “แพทองธาร ชินวัตร” ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรี ก่อนที่เคยวางโปรแกรมเอาไว้หลังเลือกตั้งปี 2570
นั่นแสดงว่าต้องมองทะลุแล้วว่าน่าจะไปยาวได้
รัฐบาลชุดใหม่ที่กำลังก่อเกิดนั้นประกอบไปด้วย “เพื่อไทย” เป็นแกนนำพร้อมพรรคร่วมรัฐบาลชุดเก่า 314 เสียง เสถียรภาพไม่ต้องพูดถึงมั่นคงแน่
อีกทั้งทุกพรรคต่างก็ยินยอมโดยไม่มีบิดพลิ้วแม้แต่น้อยก็ไปไหนไปกันโดยต่างก็ได้โควตารัฐมนตรีเท่าเดิม เพียงแต่จะมีปรับกระทรวงปรับคนบ้างก็แล้วแต่ความเหมาะสม
แต่ที่แน่ๆในรัฐบาลใหม่นี้ “เพื่อไทย” มีเสียงสนับสนุนมากที่สุด 141 เสียง หากไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะทำให้รัฐบาลนี้เดินหน้าต่อไปจนกว่าจะครบวาระในปี 2570 แล้วเลือกตั้งกันใหม่
ไม่ว่าจะมองกันในมุมไหนทุกพรรคคงไม่สามารถที่จะเอาชนะ “เพื่อไทย” ได้เว้นแต่พรรค “ประชาชน” ซึ่งเป็นพรรคการเมืองเสรีนิยมก้าวหน้าที่ประกาศตัวเป็นคู่แข่งอย่างชัดเจนและจะได้ สส.เกิน 200 คนขึ้นไป
ไม่ต่างกับ “ทักษิณ” ที่ประกาศว่า “เพื่อไทย” จะได้ สส.เกิน 200 คนขึ้นไปเช่นกัน
เมื่อสภาพการเมืองเป็นอย่างนี้ “เพื่อไทย” จะมีความได้เปรียบที่พร้อมจะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลหลังเลือกตั้งเพราะมีเสียงมากกว่าพรรคร่วมรัฐบาลอื่นๆ
ยกเว้น “ประชาชน” เท่านั้น...
ดังนั้น ไม่ว่า “เพื่อไทย” จะได้ สส.เป็นอันดับ 1 หรืออันดับ 2 ก็สามารถที่จะเป็นแกนนำตั้งรัฐบาลได้เนื่องจากมีพรรคร่วมรัฐบาลเก่าหนุน ทำให้มีเสียงมากกว่า “ประชาชน” ที่แม้จะได้เสียงมากกว่าก็ตาม
...
เว้นแต่จะ “แลนด์สไลด์” มีเสียงข้างมากและตั้งรัฐบาลพรรคเดียวได้ก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว
ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ...
อีกทั้งพรรคร่วมรัฐบาลชุดปัจจุบันนั้นได้ตั้งกำแพงปิดกั้น “ประชาชน” เอาไว้แล้ว คือ ไม่ยอมร่วมกับพรรคที่ประกาศแก้ไข ม.112
ก็เท่ากับปิดประตูตาย ร่วมสังฆกรรมกันไม่ได้
ทั้งขึ้นทั้งล่อง “เพื่อไทย” จึงมีความได้เปรียบสูง
เมื่อมองตามรูปการณ์แล้ว “ทักษิณ” จึงยอมทิ้งไพ่ใบสุดท้ายยอมให้ลูกสาวคนเล็กข้ามเวลาขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีเมื่อ “เศรษฐา ทวีสิน” ต้องพ้นจากตำแหน่งอย่างไม่คาดฝัน
เพราะทำให้มีเวลาที่จะพิสูจน์ตัวเองยาวนานขึ้นหากสามารถบริหารประเทศ สร้างผลงานให้ประชาชนยอมรับ
อย่างที่ประกาศว่าจะให้น้ำหนักในการทำให้ “เศรษฐกิจ” ฟื้นตัวและเติบโตให้ได้
โดย “ทักษิณ” จะยืนอยู่ข้างหลังเป็นแบ็กอัปให้เต็มที่
ก็คงเป็นเหลี่ยมมุมทางการเมืองที่มองถึงอนาคตข้างหน้าอย่างทะลุปรุโปร่งว่าจะไปทางไหนอย่างไรและมีโอกาสที่เหนือกว่า
ไม่จำเป็นต้องมีสูตรพิสดารอะไรให้มากความ
เว้นแต่ระหว่างทางจะไปพลาดท่าเสียทีเองก็เป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้!
“สายล่อฟ้า”
คลิกอ่านคอลัมน์ “กล้าได้กล้าเสีย” เพิ่มเติม