ก็ขอต้อนรับและแสดงความยินดีกับ คุณแพทองธาร ชินวัตร ที่ได้รับการโปรดเกล้าฯเป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 31 ของประเทศไทย ด้วยวัยเพียง 37 ปี ถือเป็นนายกรัฐมนตรีที่มีอายุน้อยที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย และเป็น นายกรัฐมนตรีหญิงคนที่ 2 ของประเทศไทย (ต่อจากคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร) ที่สำคัญยังเป็น นายกรัฐมนตรีคนที่ 3 ที่มาจาก ตระกูลชินวัตร ที่มี คุณทักษิณ ชินวัตร เป็นผู้นำและเป็นผู้ก่อตั้งพรรคเพื่อไทย สามารถส่งต่ออำนาจทางการเมืองจากรุ่นสู่รุ่นมาจนถึงทายาทรุ่นที่ 3 ได้สำเร็จ

ก็อดคิดถึงคำพูดของ เจ้าสัวธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือซีพี ที่พูดไว้เป็นข้อเตือนใจว่า “ความสำเร็จดีใจได้วันเดียว” เพราะภารกิจที่รออยู่ข้างหน้าหนักอึ้งทีเดียว

คุณแพทองธาร แถลงหลังได้รับโปรดเกล้าฯเป็นนายกฯคนที่ 31 ว่า ดิฉันให้คำมั่นสัญญาว่า จะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด ถึงแม้ดิฉันจะไม่ได้วางแพลนในการเป็นนายกฯครั้งนี้มาก่อน แต่ขอให้ทุกคนมั่นใจว่า ดิฉันพร้อมและเต็มใจที่จะรับใช้พี่น้องประชาชนอย่างสุดความสามารถในตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เพราะเป็นตำแหน่งที่มีความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ พาประเทศชาติผ่านอุปสรรคผ่านปัญหาต่างๆ ประเทศไทยของเรายังมีปัญหาเรื่องปากท้องที่รอการแก้ไข ดิฉันมีความมุ่งมั่นในการทำให้ปากท้องของพี่น้องประชาชนดีขึ้น และดิฉันมีความตั้งใจที่จะผลักดันนโยบายเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นการกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ ปัญหาของยาเสพติด หรือระบบสุขภาพถ้วนหน้า 30 บาท รักษาทุกที่ และแน่นอนดิฉันยังคงผลักดันนโยบาย Thailand Soft Power อย่างต่อเนื่อง ดิฉันมีความตั้งใจที่จะร่วมงานกับทุกภาคส่วน เพื่อที่จะผลักดันนโยบายต่างๆเหล่านี้ให้ลุล่วงสำเร็จ และจะมีการแถลงนโยบายอย่างเป็นรูปธรรมในเดือนกันยายนนี้

...

คุณทักษิณ ชินวัตร ดูเหมือนจะดีใจที่สุดที่สามารถส่งต่ออำนาจทางการเมืองไปสู่ทายาทรุ่นที่ 3 ได้สำเร็จ ให้สัมภาษณ์ว่า ความท้าทายจากนี้คือปัญหาของประเทศที่คุณแพทองธารจะต้องทำงานหนัก แต่มีข้อดีคืออายุยังน้อย สามารถไปขอความช่วยเหลือและความร่วมมือจากทุกภาคส่วนได้ ตนคงไม่เข้าไปเป็นที่ปรึกษา เพราะสามารถยกหูโทร.หาได้ทุกเรื่อง

ประเด็นที่ผมเป็นห่วงอย่างยิ่งต่อ อนาคตประเทศไทย ก็คือ “การขาดประสบการณ์” ในการบริหารประเทศที่ซับซ้อนหลากหลายมิติของ นายกฯ คนที่ 31 ทั้ง ด้านเศรษฐกิจ สังคม การเมือง ความยากจน ความเหลื่อมล้ำ การเมืองและการค้าระหว่างประเทศ ภายใต้ภาวะสงครามการค้าและความแตกแยกทางภูมิรัฐศาสตร์ ที่ล้วนมีผลผูกพันและกระทบต่ออนาคตของประเทศและคนไทย 66 ล้านคน ไม่ใช่เป็นเรื่องการลองผิดลองถูกเหมือนธุรกิจครอบครัว หรือพึ่งพาพี่เลี้ยงเพียงอย่างเดียว ถ้าผู้นำประเทศไม่มีประสบการณ์อะไรเลยการตัดสินใจย่อมจะผิดพลาดได้ง่ายมาก

ในหนังสือ Hard Truth to Keep Singapore Going รวมบทสัมภาษณ์อดีตนายกฯ ลี กวนยู ผู้ก่อตั้งประเทศสิงคโปร์ ได้พูดถึง การคัดสรรผู้นำมาบริหารประเทศ ว่า มีความสำคัญอย่างยิ่งยวดต่อความอยู่รอดและความเจริญมั่งคั่งของสิงคโปร์ ดังนั้น ลี เซียนลุง ลูกชาย ลี กวนยู ที่เขาวางเป็นทายาทการเมือง จึงต้องใช้เวลาบ่มเพาะประสบการณ์ในเวทีการเมืองและการบริหารประเทศมายาวนานถึง 14 ปี ถึงจะได้สืบทอดอำนาจเป็น นายกฯ คนที่ 3 ของสิงคโปร์ ระหว่างทาง ลี กวนยู ได้เลือก โก๊ะ จ๊กตง ขึ้นมาเป็นนายกฯคั่นกลาง

ในสมัย โก๊ะ จ๊กตง เป็นนายกฯ ลี เซียนลุง ก็ได้รับการบ่มเพาะประสบการณ์เพิ่มอย่างต่อเนื่อง ได้รับแต่งตั้งเป็น ผู้ช่วยรัฐมนตรีกลาโหม รัฐมนตรีการค้าและอุตสาหกรรม รัฐมนตรีคลัง และ รองนายกฯ เรียนรู้การบริหารประเทศรอบด้านจากการทำงานจริง เทียบกับการก้าวขึ้นมาเป็น นายกฯคนที่ 31 ของ คุณแพทองธาร ชินวัตร ที่ง่ายดังพลิกฝ่ามือ ผมคิดว่าเราควรต้องเป็นห่วงอนาคตของประเทศชาติอย่างจริงจัง เพราะประเทศไทยเป็นของคนไทยทุกคน.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม