ไม่ว่าเหตุผลในการวินิจฉัย ยุบพรรคก้าวไกล ของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ ทั้ง 9 คน จะประกอบด้วยข้อกฎหมาย บทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญ ประกอบกับพฤติกรรมของผู้ถูกร้องอย่างไร ก็มีทั้งการเห็นด้วยและคัดค้าน ไม่ว่าจะอธิบายหลักนิติศาสตร์หรือหลักรัฐศาสตร์ ในการที่จะยุบพรรคก้าวไกล หรือไม่ควรยุบพรรคก้าวไกลอย่างไร ก็มีทั้งความเห็นที่ไปในทิศทาง เดียวกันและแตกต่าง ถ้าจะมองโลกสวยก็จะบอกว่า เป็นความสวยงามในระบอบประชาธิปไตย ถ้าจะมองว่าโลกแบน ก็จะบอกว่า ไม่เป็นธรรมและไม่เสมอภาคในการปกครองของระบอบประชาธิปไตย แต่ไม่ว่าจะมองอย่างไร ความจริงก็คือความจริง คือพรรคก้าวไกล ถูกยุบเป็นตำนานไปแล้ว

ไม่ใช่พรรคการเมืองแรกที่ถูกยุบพรรคซ้ำซ้อน พรรคเพื่อไทย และบริวาร ถูกยุบพรรคมา 3 รอบ วันนี้พรรคเพื่อไทยก็ยังอยู่ แม้ ดีเอ็นเอจะเปลี่ยนไปก็ตาม พรรคก้าวไกล ก็ยังอยู่ วันนี้เปิดตัวพรรคใหม่ หัวหน้าพรรคคนใหม่ กรรมการบริหารพรรคคนใหม่ บทเรียนที่ได้รับมาจาก อนาคตใหม่ จนถึง ก้าวไกล พรรคใหม่ที่ยังมี ดีเอนเอของก้าวไกล อยู่ ก็ต้องเดินหน้าทำกิจกรรมการเมืองต่อไป

ความจริงรัฐธรรมนูญ ก็ยังไม่โหดร้ายจนเกินไป ยังเปิดช่องให้ สส.ไปหาพรรคสังกัดใหม่ได้ เพียงแต่ กรรมการบริหารพรรคชุดเก่าระหว่างปี 2564-2567 จะถูกตัดสิทธิทางการเมืองไป 10 ปี ไปยุ่งเกี่ยวกับพรรคใหม่ไม่ได้ ก็ยังมี บ้านก้าวหน้า ให้ไปทำงานการเมืองภาคประชาชนอยู่

ในสภาก็ยังมี ดีเอ็นเอของก้าวไกล ที่จะทำงานกันต่อไป อาจจะเหลือแค่ 143 เสียงหรือน้อยกว่านั้น ถ้าจะมี สส.ก้าวไกลบางคนย้ายไป อยู่พรรคการเมืองอื่น แต่สมาชิกก้าวไกล 1 แสนคนก็อาจจะเพิ่มขึ้น การเลือกตั้งในโอกาสต่อไป พรรคก้าวไกลก็ยังมี สส.เข้ามาทำหน้าที่ในสภาจะน้อยจะมากก็จะเป็นอีกเรื่อง

...

หรือ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ จะแสดงความกังวลในการสั่งยุบพรรคก้าวไกล ระบุว่าเป็นการลิดรอนสิทธิของคนไทย 14 ล้านเสียง เรียกร้องให้มีการแสดงออกเพื่อปกป้องประชาธิปไตย หรือ นานาชาติ จะออกแถลงการณ์ว่าการยุบพรรคก้าวไกลและตัดสิทธิการเมืองกรรมการบริหาร 11 คนจะทำให้ ระบบการเมืองไทยถดถอย หรือ ภาคธุรกิจ อุตสาหกรรม และ การลงทุน จะกังวลว่าการเมืองไทยจะไม่นิ่งจะกระทบกับการตัดสินใจตั้งฐานการผลิตก็แล้วแต่ ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ทางการเมือง ไม่ว่าจะยุบพรรค หรือการออกมาประท้วงของมวลชน มักจะมีผลกระทบกับความกังวลในระยะสั้น สุดท้าย เข้าเมืองตาหลิ่วก็ต้องหลิ่วตาตาม ไม่อย่างนั้นประเทศไทยคงไม่มีการปฏิวัติรัฐประหารบ่อยขนาดนั้นและคงไม่มีรัฐบาลที่มาจากการยึดอำนาจหลายชุด ก็ไม่เห็นมีประเทศเสรีนิยมประเทศไหนเข้ามาก้าวก่ายอธิปไตยของไทย ตราบใดที่ประชาชนไม่เดือดร้อนและยอมรับได้ จะพรรคไหน มาจากเลือกตั้งหรือยึดอำนาจ จึงไม่มีความแตกต่างกัน

เพราะการเมืองไทย ก็คือการชิงอำนาจ ที่จะเข้าไปมีอำนาจรัฐ ไม่มีพรรคการเมืองไหนจะประกาศว่าจะขอเข้าไปเป็นฝ่ายค้าน แต่ทุกพรรคการเมืองอ้างว่าเข้ามาทำหน้าที่เพื่อประชาชน ส่วนประชาชนก็ยังเป็นฐานการชิงอำนาจ

Show much go on การเมือง เท่ากับ การแสดง.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ “คาบลูกคาบดอก” เพิ่มเติม