ใกล้ถึง วันที่ 7 ส.ค. นัดชี้ชะตาอนาคต พรรคก้าวไกล โดย ศาลรัฐธรรมนูญ ข้อหา เซาะกร่อน บ่อนทำลาย ล้มล้างการปกครอง เป็นโทษสถานหนักถึงกับ ยุบพรรคการเมือง กรรมการบริหารพรรคถูกตัดสิทธิทางการเมือง สมมติก้าวไกลถูกยุบพรรค จะเหลือ สส.กี่คน จะถูกดูดกี่คน จะฝากเลี้ยงกี่คน เป็นเรื่องของวิถีการเมืองไทย ในอนาคต ส่วนจะกระทบเสถียรภาพของพรรคร่วมรัฐบาลหรือไม่ โฟกัสไปถึงพรรคที่มี สส.เป็นอันดับสองในพรรคร่วมรัฐบาล อนุทิน ชาญวีรกูล ประกาศชัดเจนแล้วว่ายังไม่ถึงคิว เป็นเรื่องของพรรคอันดับหนึ่ง แต่ถึงคิวอนุทินเมื่อไหร่ก็ห้ามใครมาแย่ง แปลว่าตำแหน่งนายกฯของอนุทิน เป็นเรื่องของอนาคตจะเมื่อไหร่ว่ากันอีกที

พรรคก้าวไกล ออกมาแสดงความมั่นใจว่า จะไม่ถูกยุบพรรค ไม่ว่าจะเป็น ชัยธวัช ตุลาธน หัวหน้าพรรค หรือ พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ที่ปรึกษาหัวหน้าพรรค แต่การออกอาการร้อนรน ในการยกข้อต่อสู้ในศาลรัฐธรรมนูญ เท่ากับว่าก้าวไกลเองก็ยังไม่มั่นใจเช่นกัน สรุปว่า ถ้ามีการวินิจฉัยยุบพรรคก้าวไกลเป็นเรื่องที่ไม่อยู่เหนือความคาดหมาย แต่ถ้า วินิจฉัยไม่ยุบก้าวไกล จะเป็นอะไรที่เซอร์ไพรส์ มากกว่า

จะมีผลอะไรกับพรรคร่วมที่ นาทีนี้ถ้า ภูมิใจไทย ไม่ขยับก็ไม่มีอะไรในกอไผ่ ส่วน คะแนนนิยมก้าวไกล จะดีขึ้นแบบถล่มทลายหลังจากถูกยุบพรรคยังบอกไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า โดยวาระแล้วจะครบกำหนดกันในปี 2570 ถึงตอนนั้นคงมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเยอะแล้ว

...

วันที่ 14 ส.ค. จะเป็นวันที่ศาลรัฐธรรมนูญ นัดอ่านคำวินิจฉัยคุณสมบัติของ นายกฯเศรษฐา ทวีสิน กรณีตั้ง พิชิต ชื่นบาน เป็น รมต. ซึ่งคดีนี้ถ้ามีการวินิจฉัยว่า เศรษฐา ไม่ขาดคุณสมบัติตามรัฐธรรมนูญ ไม่มีอะไรเหนือความคาดหมาย แต่ถ้าขาดคุณสมบัติการเป็นนายกฯ ถือว่าเป็นเรื่องที่เหนือความคาดหมาย การเมืองคงระส่ำระสายกันไปพักใหญ่ ทั้งพรรคร่วมรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านอีนุงตุงนังไปหมด

วันที่ 31 ส.ค. ถือเป็นวันครบกำหนดการพ้นโทษของอดีตผู้นำ ทักษิณ ชินวัตร ถึงยังเหลือคดี ม.112 ค้างอยู่อีกคดีก็ต้องไปว่ากันในระยะยาว ถือว่าเป็นผู้ต้องหาในระหว่างการประกันตัวสู้คดีในชั้นศาล เป็นไปตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรม ในส่วนนี้ อดีตผู้นำ คงไม่มีความคิดที่จะกลับมารับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ เหมาะสมที่จะทำหน้าที่ให้คำแนะนำปรึกษามากกว่า คำว่า ผู้มีบารมีหรือผู้มากบารมี ดูเหมาะสมกว่าตั้งเยอะ ใช้ประสบการณ์ความรู้ความสามารถ สร้างคุณประโยชน์ให้กับประเทศ ดีกว่าลงมาคลุกฝุ่นการเมืองอีกระลอก

คอการเมืองวิเคราะห์วิจารณ์ผลของการเมืองทั้งสามเรื่องสามรส จะกดดันเปลี่ยนจากการเมือง จากในสภาลงสู่ท้องถนนรอบใหม่ แต่ถ้าฝ่ายการเมืองบวกลบคูณหารกันให้ดีแล้ว คงไม่มีใครอยากสร้างเงื่อนไขให้ อำนาจจากปลายกระบอกปืน เข้ามามีอำนาจในการปกครองอีกแล้ว วิกฤติจากปี 2549 จนถึงวันนี้ เข็ดกันไปนาน

เป็นบทเรียนว่าการออกมาสู้กับอำนาจที่มองไม่เห็น สู้อย่างไรก็ไม่ชนะ สู้ประคับประคองสนามการต่อสู้ในระบอบประชาธิปไตยไปแบบนี้เรื่อยๆดีกว่า อย่างน้อยก็ยังมีเวทีให้เล่นดีกว่าถูกปิดประตูตีแมว มัดมือชก

ใช่ไม่ใช่.

หมัดเหล็ก
mudlek@thairath.co.th

คลิกอ่านคอลัมน์ "คาบลูกคาบดอก" เพิ่มเติม