กมธ.ก้าวไกล ฉะงบกลางปีเติมดิจิทัลวอลเล็ต 1.22 แสนล้าน รัฐบาลกลับตัวเลขกระตุ้นเศรษฐกิจไปมา ไร้ข้อสรุป จะโตกี่เปอร์เซ็นต์กันแน่? อัดเงื่อนไขเอื้อทุนใหญ่ ค้าปลีก-ค้าส่ง ผูกขาดตลาดมากขึ้น


วันที่ 31 ก.ค. 2567 ในการประชุมสภาผู้แทนราษฎร มีการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ 2567 (งบกลางปี) เพื่อนำไปใช้ในโครงการดิจิทัลวอลเล็ต หลังคณะกรรมาธิการพิจารณาเสร็จแล้ว ซึ่งในการนี้ กรรมาธิการในสัดส่วนของพรรคก้าวไกล ได้ขอสงวนความเห็นปรับลดงบประมาณลง

โดยในส่วนของ นายสิทธิพล วิบูลย์ธนากุล สส.บัญชีรายชื่อ พรรคก้าวไกล ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อย ได้อภิปรายถึงตัวเลขประมาณการการกระตุ้นเศรษฐกิจ โดยระบุว่า แม้รัฐบาลจะพูดตลอดว่าเป้าหมายของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตนั้นก็เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ก็ยังมีคำถามอยู่ว่าจะกระตุ้นได้แค่ไหน

ที่น่าสงสัยเพราะตัวเลขนี้ใน 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา มีการเปลี่ยนหลายครั้ง ในสภาฯ วาระแรก มีการระบุว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ต จะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ 1.2-1.8% ซึ่งก็มีการถกเถียงกันมากว่าสูงเกินไป เทียบกับการประเมินจากหน่วยงานอื่นทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ตลอดโครงการอยู่ที่ 0.9% หรือสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ที่ประเมินว่าปีนี้ 0.3% ปีหน้า 0.3%

นายสิทธิพล กล่าวต่อไป ว่าในการประชุมคณะกรรมาธิการฯ นัดแรกเมื่อวันศุกร์ที่ 19 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังแจ้งว่า มีการทบทวนใหม่ ว่า ตลอดโครงการให้ผลตอบแทนที่ 0.9% แต่ทว่าเมื่อวันศุกร์ที่ 26 กรกฎาคม ที่ผ่านมา กระทรวงคลังแถลงประมาณการใหม่ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะให้ผลตอบแทนที่ 1.2-1.8% อีกครั้ง

ทำให้เกิดข้อสงสัยว่าจากโครงการที่ใช้งบประมาณรวมถึง 4.5 แสนล้านบาท เฉพาะจาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ 1.22 แสนล้านบาท การขอเงินไปใช้มากขนาดนี้สรุปรัฐบาลทราบหรือยังว่าจะกระตุ้นเศรษฐกิจได้เท่าไร ควรต้องบอกได้ชัดแล้วว่าจะเกิดผลตอบแทนได้แค่ไหน ซึ่งเมื่อวานนี้ตนก็มาจับข้อผิดสังเกตได้ ในการประชุมวิปฝ่ายค้าน ที่กระทรวงการคลังได้ส่งผู้แทนมาชี้แจง มีการระบุว่าที่ประเมินกลับมาที่ 1.2-1.8% ก็เพราะตัวเลขดังกล่าวขึ้นกับสี่เงื่อนไข คือ 1) แหล่งที่มาของเงิน 2) เงื่อนไขของโครงการ 3) จำนวนผู้เข้าร่วม และ 4) พฤติกรรมการใช้จ่าย

นายสิทธิพล ระบุว่า ที่น่าสังเกตคือแหล่งที่มาของเงินที่เอามาคำนวณ มาจากเงินที่อัดฉีดใหม่เข้าสู่ระบบเศรษฐกิจ ไม่ได้มาจากการนำเงินที่จะใช้จ่ายภายใต้ภารกิจอื่นอยู่แล้ว หมายความว่าตัวเลข 1.2-1.8% เป็นสมมติฐานว่าเป็นเงินใหม่ทั้งหมด ทำให้คำชี้แจงนี้มีปัญหาสองเรื่อง

1) แหล่งที่มาของเงินวันนี้ชัดเจนแล้วว่ามาจากไหน ไม่ได้เป็นเงินใหม่ทั้งหมด แต่เป็นการใช้เงินจากงบเพิ่มเติม 1.22 แสนล้านบาท รวมกับอีก 1.5 แสนล้านบาทใน พ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2568 รวมเป็น 2.74 แสนล้าน หรือคิดเป็นเพียง 60% ของ 4.5 แสนล้านบาทเท่านั้น ส่วนที่เหลืออีกประมาณ 1.57 แสนล้านบาทเป็นเงินเก่า โยกงบประมาณจากโครงการเดิมมา ดังนั้น คำอธิบายที่รัฐมนตรีแถลงจึงเป็นไปไม่ได้แล้ว แล้วทำไมจึงยังนำตัวเลขนี้มาโฆษณาอยู่

2) การขัดกันระหว่างสิ่งที่รัฐมนตรีแถลงเมื่อวันศุกร์ ว่า 1.2-1.8% เป็นตัวเลขเดียวกับที่ประเมินตั้งแต่เมื่อวันที่ 10 เมษายน ซึ่งไม่ตรงกับที่ปลัดกระทรวงการคลังและ ผอ.สำนักเศรษฐกิจการคลังให้ข้อมูลในกรรมาธิการว่า เดิมผลการประเมินโครงการทำให้เศรษฐกิจขยายตัว 1.2% แต่เดือนเมษายนที่ผ่านมาหน่วยงานประเมินใหม่ว่าจะส่งผลต่อเศรษฐกิจที่ 0.9%

ทั้งสองเอกสารบอกเป็นตัวเลขตั้งแต่เดือนเมษายนทั้งคู่ แต่กลับไม่ตรงกัน คำถามคือตกลงมีการทบทวนดังที่ปลัดกระทรวงการคลังชี้แจงในกรรมาธิการจริงหรือไม่ แล้วทำไมตอนแถลงข่าวล่าสุดจึงไม่บอกตัวเลขที่อัปเดตล่าสุดกับประชาชน

นายสิทธิพล อภิปรายต่อไป ว่าตัวเลขที่มีการประเมินไว้ที่ 1.2-1.8% ตอนนั้นสำนักงานเศรษฐกิจการคลังคำนวณบนสมมติฐานสำคัญสองประการ คือวงเงิน 5 แสนล้าน และเป็นการกู้เงินทั้งหมด รวมถึงเงินจาก ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) แต่ข้อเท็จจริง ณ ตอนนี้ชัดเจนว่าวงเงินถูกลดลงมาเหลือ 4.5 แสนล้านบาท และเม็ดเงินใหม่ไม่เยอะเท่าเดิม ดังนั้น จึงไม่มีทางกระตุ้นเศรษฐกิจได้อย่างที่โฆษณาไว้

นอกจากนี้ จากการสอบถามผู้แทนจากสภาการพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ในที่ประชุมวิปฝ่ายค้านเมื่อวานนี้ ว่าจากข้อมูลปัจจุบันต้องมีการประเมินผลกระทบของโครงการดิจิทัลวอลเล็ตต่อจีดีพีใหม่หรือไม่ ผู้แทนสภาพัฒน์ตอบว่าจากเดิมประเมินไว้ว่าปีนี้จะกระตุ้นได้ 0.3% และปีหน้า 0.3% แต่การประเมินดังกล่าวมาจากสมมติฐานว่าเป็นเม็ดเงินใหม่และเม็ดเงินจาก ธ.ก.ส. แต่เมื่อดูจากข้อเท็จจริงปัจจุบันที่แหล่งที่มาของเงินเปลี่ยนไปแล้ว ก็ต้องกลับไปประเมินใหม่ แต่เชื่อว่าผลกระทบจะน้อยลง

จึงขอให้รัฐบาลชี้แจงว่าได้มีการทบทวนตัวเลขจริงหรือไม่ อย่างที่ปลัดกระทรวงการคลังชี้แจงว่า 0.9% ในห้องกรรมาธิการ และทำไมล่าสุดรัฐมนตรีจึงยังแถลงว่าจะกระตุ้นได้ 1.2-1.8% และสรุปตัวเลขจริงกระตุ้นเศรษฐกิจได้แค่ไหน

“ผลกระทบของดิจิทัลวอลเล็ตต่อจีดีพีสำคัญ เพราะรัฐบาลพูดเสมอว่าเป้าหมายของโครงการนี้เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ คำถามที่พวกเราในฐานะพรรคฝ่ายค้านหรือกรรมาธิการเสียงข้างน้อยถาม คือมันจะกระตุ้นได้แค่ไหน คุ้มกับงบประมาณที่ประเทศต้องใช้ไปหรือเปล่า ปัญหาคือวันนี้ท่านบอกไม่ชัด กลับไปกลับมา แต่ที่แน่ๆ คือน้อยลงและเสี่ยงไม่คุ้มกับงบประมาณ” นายสิทธิพล กล่าว

...

ขณะเดียวกัน รองศาสตราจารย์วีระยุทธ กาญจน์ชูฉัตร ในฐานะกรรมาธิการเสียงข้างน้อยที่ขอสงวนความเห็น ได้อภิปรายถึงข้อกังวลของโครงการ ที่อาจเป็นการเพิ่มอำนาจเหนือตลาดให้ผู้ค้าส่ง-ค้าปลีกโดยนโยบายรัฐ เนื่องจากตลาดค้าปลีก-ค้าส่งของไทยเป็นหนึ่งในตลาดที่มีการกระจุกตัวสูง โดยเฉพาะหลังการควบรวมธุรกิจครั้งใหญ่ในปี 2563 ที่มีการรวมธุรกิจมูลค่ากว่า 3.3 แสนล้านบาท เป็นหนึ่งในดีลที่มีมูลค่าสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ธุรกิจไทย

การควบรวมกิจการดังกล่าวแม้จะได้รับอนุญาตจากคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า (กขค.) แต่ก็มีคณะกรรมการ 3 ท่านที่มีความเห็นคัดค้าน พร้อมยกตัวเลขดัชนี HHI ที่ชี้วัดสถานะการแข่งขันในตลาด มาชี้ให้เห็นว่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปถึง 1,400 หน่วย ซึ่งตามหลักสากลการเปลี่ยนแปลงเพียงแค่ 100 หน่วยก็น่ากังวลแล้ว กขค. เสียงข้างน้อยเห็นว่าการรวมธุรกิจดังกล่าวจะทำให้เกิดโอกาสการผูกขาดหรือครอบงำทางเศรษฐกิจได้ เพราะผู้ขออนุญาตควบรวมมีสถานะเป็นผู้ผลิตสินค้าสำคัญหลายประเภท ทั้งสินค้าเกษตรพื้นฐาน เกษตรแปรรูป รวมถึงสินค้าอุปโภคบริโภคที่จำเป็นต่อการดำรงชีพในชีวิตประจำวันตั้งแต่ต้นน้ำจนถึงปลายน้ำ ซึ่งปัจจัยนี้จะทำให้ผู้ขออนุญาตควบรวมมีอำนาจเหนือตลาดสูงจนครอบงำเศรษฐกิจการค้าของประเทศได้ง่าย และทำให้ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจและสังคมสูงขึ้น

รองศาสตราจารย์วีระยุทธ อภิปรายต่อไป ว่า หากเป็นมาตรฐานสากล การรวมธุรกิจที่เพิ่มอำนาจเหนือตลาดระดับนี้ อย่างต่ำที่สุดต้องมีโทษปรับหรือบังคับให้มีการถ่ายโอนร้านค้าบางส่วน การแข่งขันในตลาดจะได้ไม่น้อยลงไปกว่าเดิม และต้องมีการเฝ้าระวังไม่ให้มีการกระจุกตัวเพิ่มขึ้นอีก แต่ที่เป็นตลกร้ายคือผ่านไป 4 ปีหลังการควบรวมเท่านั้น นโยบายของรัฐบาลเองกลับกำลังจะเพิ่มอำนาจเหนือตลาดให้กับผู้ค้าปลีกรายใหญ่ โดยผู้ดำเนินโครงการดิจิทัลวอลเล็ตไม่ได้สนใจศึกษาผลกระทบของนโยบายนี้ที่จะมีต่อการแข่งขันในตลาดค้าปลีกให้รอบคอบ

แม้จะยังไม่อาจสรุปได้ว่าโครงการดิจิทัลวอลเล็ตจะเพิ่มอำนาจเหนือตลาดให้แก่ร้านค้าปลีกรายใหญ่แค่ไหน จะลดอำนาจต่อรองของซัพพลายเออร์และผู้ผลิตหรือไม่ จะเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคไปอย่างไร จะส่งผลต่อราคาและคุณภาพสินค้าในระยะยาวมากน้อยเพียงใด แต่หากเป็นไปได้ ตนอยากให้รัฐบาลประเมินผลกระทบของโครงการต่อตลาดค้าปลีกค้าส่งไว้ล่วงหน้า และออกแบบโครงการให้เอื้อต่อการกระจายรายได้ ใช้เงินเพื่อเพิ่มโอกาส ต่อลมหายใจให้ผู้ผลิตไทยที่กำลังย่ำแย่ในขณะนี้

แต่หากไม่ทันแล้ว อย่างน้อยที่สุดควรมีการเตรียมความพร้อมในการจัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ จัดทำโดยตัวกลางที่น่าเชื่อถือ เก็บข้อมูลธุรกรรมแยกรายพื้นที่ แยกประเภทสินค้า แยกประเภทร้านค้า มีศูนย์รับเรื่องร้องเรียนที่คอยเฝ้าระวังพฤติกรรมการค้าที่ไม่เป็นธรรมที่อาจเกิดระหว่างโครงการ

“การมีบรรทัดฐานด้านการแข่งขันไม่เพียงช่วยการันตีว่าผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่มีราคาและคุณภาพดีที่สุดจากตลาดเท่านั้น แต่จะเป็นเสมือน “ผนังทองแดงกําแพงเหล็ก” ให้ธุรกิจไทยสามารถยืนพิงได้ ในเวลาที่กระแสการแข่งขันจากต่างชาติเชี่ยวกรากขึ้นเรื่อยๆ” รองศาสตราจารย์วีระยุทธ กล่าว.