การประชุม ครม.วันอังคาร คุณรัดเกล้า อินทวงศ์ สุวรรณคีรี โฆษกสำนักนายกฯ ได้แถลงมติสำคัญว่า ครม. มีมติอนุมัติ “ร่างกฎกระทรวง” ว่าด้วยการยกเว้นภาษีรัษฎากร ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ เพื่อปรับปรุงมาตรการภาษี เพื่อส่งเสริมการลงทุนในกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืนของประเทศไทย (Thailand ESG Fund หรือ TESG)

โดยร่างกฎกระทรวงใหม่ ให้ขยายวงเงินหักลดหย่อนภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาจากการซื้อหน่วยลงทุนกองทุนรวมไทยเพื่อความยั่งยืน (Thai ESG) จากเดิมที่หักลดหย่อนภาษีได้ 100,000 บาทต่อปีภาษี เพิ่มเป็น 300,000 บาทต่อปีภาษี ทั้งนี้ต้องไม่เกินร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมินในปีภาษี และให้ลดหย่อนระยะเวลาการถือครองหน่วยลงทุนเหลือไม่น้อยกว่า 5 ปี (จากเดิมที่กำหนดให้ถือครองหน่วยลงทุน 8 ปี) สำหรับ หน่วยลงทุนที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 และไม่ต้องนำเงินหรือผลประโยชน์ใดๆที่ได้รับจากการขายหน่วยลงทุนคืนให้กับ TESG มารวมคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (โดยต้องถือหน่วยลงทุนดังกล่าวมาแล้วไม่น้อยกว่า 5 ปี นับตั้งแต่ซื้อหน่วยลงทุน)

ผมขอขยายความให้ชัดเจนสักนิด ร่างกฎกระทรวงการคลังใหม่ ที่ให้ขยายวงเงินลงทุนในหน่วยลงทุน Thai ESG ที่สามารถนำไปหักลดหย่อนภาษีประจำปีได้ จากเดิมปีละ 100,000 บาท เป็นปีละ 300,000 บาทนั้น “เป็นมาตรการพิเศษที่ให้หักลดหย่อนได้เพียง 3 ปีเท่านั้น” คือ หน่วยลงทุน Thai ESG ที่ซื้อตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2567 ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม 2569 เพื่อช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทย

การเพิ่มค่าหักลดหย่อนเงินซื้อกองทุนรวม Thai ESG 300,000 บาทต่อปีนี้ จะไม่ถูกนับรวมกับการลงทุนในกองทุนการออมเพื่อการเกษียณอายุอื่นๆ ได้แก่ กองทุนรวมเพื่อส่งเสริมการออมระยะยาว (SSF) กองทุนรวมเพื่อการเลี้ยงชีพ (RMF) กองทุนสำรองเลี้ยงชีพ กองทุนบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.) กองทุนสงเคราะห์ครูโรงเรียนเอกชน กองทุนการออมแห่งชาติ และ เบี้ยประกันชีวิตแบบบำนาญ ซึ่งปัจจุบันมีเพดานลดหย่อยภาษีรวมกันได้ไม่เกิน 500,000 บาทต่อปี

...

ร่างกฎกระทรวงใหม่นี้เท่ากับ เพิ่มวงเงินลดหย่อนภาษีให้กับผู้ลงทุนในกองทุนรวมที่กำหนดเป็นปีละ 800,000 บาท จากเดิมที่ไม่เกินปีละ 500,000 บาท แต่วงเงินลดหย่อนภาษีจากการลงทุนในกองทุนรวม Thai ESG 300,000 บาทนั้นจะมีอายุเพียง 3 ปีเท่านั้น เป็นมาตรการชั่วคราว ใน 3 ปีนี้ ผู้ที่มีเงินลงทุนระยะยาวได้มาก ก็จะได้ประโยชน์มาก เพราะสามารถหักลดหย่อนภาษีได้ถึงปีละ 800,000 บาท เป็นจำนวนเงินที่มากโขทีเดียว เงินลงทุนใหม่นี้ก็จะไปช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับตลาดหุ้นไทย

กรณีที่ ผู้มีเงินได้ซื้อกองทุนรวม Thai ESG ระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2567 ก่อนวันที่ “กฎกระทรวงใหม่” จะมีผลบังคับใช้ ผู้มีเงินได้ดังกล่าวก็ได้รับสิทธิหักค่าลดหย่อนค่าซื้อหน่วยกองทุนในอัตราร้อยละ 30 ของเงินได้พึงประเมิน เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 300,000 บาท และได้รับการลดหย่อนเวลาถือครองหน่วยลงทุนเหลือเป็นไม่น้อยกว่า 5 ปี (จากเดิม 8 ปี) นับตั้งแต่วันที่ซื้อหน่วยลงทุนด้วย แต่หลังจากวันที่ 31 ธันวาคม 2569 เป็นต้นไป ผู้ที่ซื้อหน่วยลงทุน Thai ESG ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2570 จะต้องกลับไปใช้เงื่อนไขเก่า คือ หักค่าลดหย่อนค่าซื้อหน่วยลงทุนในอัตราร้อยละ 30 เฉพาะส่วนที่ไม่เกิน 100,000 บาท

ผมมีตัวอย่างให้ดูเล่นๆ เงินเดือน 35,000 บาท ฐานภาษี 5% ประหยัดภาษีได้ปีละ 5,000 บาท เงินเดือน 50,000 บาท ฐานภาษี 10% ประหยัดได้ปีละ 10,000 บาท เงินเดือน 85,000 บาท ฐานภาษี 20% ประหยัดได้ปีละ 20,000 บาท ตัวเลขนี้คิดจากค่าลดหย่อนส่วนตัวและประกันสังคมเท่านั้น ถ้าได้รับการลดหย่อนเพิ่มอีกปีละ 800,000 บาท จะประหยัดภาษีได้อีกเยอะเลยทีเดียว เหลือเงินเพื่อใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพิ่มกำลังซื้อ ช่วยให้เศรษฐกิจฟื้นตัว ตลาดหุ้นฟื้นตัว

กระสุนนัดเดียวได้นกหลายตัว นโยบายที่ดีต้องกระจายประโยชน์อย่างทั่วถึง ผมขอชื่นชม คุณพิชัย ชุณหวชิร รองนายกฯ และรัฐมนตรีคลัง ที่ผลักดันเรื่องนี้ได้สำเร็จตามที่พูด.

“ลม เปลี่ยนทิศ”

คลิกอ่านคอลัมน์ “หมายเหตุประเทศไทย” เพิ่มเติม